วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ความดีสากล (Universal Goodness)


ตอนที่ 1 ฝึกตนเองก่อน


            ท่านเคยมีความคิดอย่างนี้บ้างไหม ว่า ตัวของเรามีทั้งความรู้ความสามารถ และขยันขันแข็ง แต่ทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้
-                    - ทำธุรกิจการงานใดก็ล้มลุกคลุกคลาน ไม่ประสบความสำเร็จ
-                    - เงินขาดมือ มีหนี้สิน มีเรื่องให้เสียเงินโดยใช่เหตุบ่อย
                 - ครอบครัวไม่เป็นสุข                                       
                 -  ลูก ๆ ไม่อยู่ในโอวาท เกเร สร้างความเดือดร้อนมาให้ครอบครัวอยู่เป็นประจำ

             ปัญหาเหล่านี้ บางท่านอาจจะโทษโน่น นี่ นั่น โทษเวร โทษกรรม โทษชะตาฟ้าลิขิต ความจริง

แล้วเราโทษใครไม่ได้เลย เพราะ สาเหตุของเรื่องนี้ พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์  หลวงพ่อทัตตะชีโว      รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ท่านได้นำความรู้จากพระไตรปิฎก มาสอนเราว่าปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเกิดมาจาก “นิสัย” ของตัวเรานั่นเอง

               “นิสัย” จะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จให้กับชีวิตเราทุกอย่าง

คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะมี”นิสัย”ที่เป็นความดีสากลอยู่ด้วยกัน  5 ประการ คือ

                                                                        1.รักความสะอาด
                                                                        2.รักความเป็นระเบียบ
                                                                        3.มีความสุภาพเรียบร้อย เคารพอ่อนน้อม
                                                                        4.ตรงต่อเวลา
                                                                        5.มีสมาธิ    

พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตานำคำสอนที่ได้จากพระไตรปิฎก มาสรุปรวมเป็นคำสอนให้เราเข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และหากเราปฏิบัติตามจนติดเป็นนิสัยแล้ว เราจะทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ ครอบครัวลูกหลานก็จะอยู่เย็นเป็นสุข
                              ความดีสากล 5 ประการ  (Universal Goodness) ซึ่งได้แก่ ความสะอาด เป็นระเบียบ ความสุภาพอ่อนน้อม ตรงต่อเวลาและสมาธินี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยืนยันว่าจะส่งผลเกี่ยวเนื่องกัน ยกตัวอย่างดังนี้คือ
ใครที่ฝึกนิสัยรักความสะอาด เขาก็จะเป็นคนมีระเบียบ และความสุภาพเรียบร้อยก็จะตามมา คนที่มีระเบียบก็จะเป็นคนตรงต่อเวลา ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง คนที่ทำงานตรงเวลาก็จะเป็นคนที่ทำงานอย่างมีสติ มีสมาธิในการทำกิจการงานต่าง ซึ่งก็จะทำให้คนนั้นประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน
ในทางตรงกันข้าม
                                      คนที่ไม่รักษาความสะอาด ปล่อยตัวเองให้สกปรก บ้านช่องก็จะรกรุงรังด้วย เมื่อความเป็นระเบียบไม่มี ก็มักจะทำอะไรได้ไม่เรียบร้อย พูดจาโกหกหยาบคาย ขาดความเคารพผู้อื่น กล้าทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้กลายเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา ทำสิ่งใดก็มักมีข้ออ้างผัดวันประกันพรุ่ง ไม่มีสมาธิในการทำงาน คนเช่นนี้ทำกิจการงานใดย่อมสำเร็จได้ยาก แม้จะเกิดมาร่ำรวยก็อาจลำบากยากจนในภายหลังได้
                                       ท่านลองนึกทบทวนดูก็ได้ว่า ญาติพี่น้อง หรือ คนที่ท่านรู้จัก ระหว่างผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัวและธุรกิจการงาน กับผู้ที่ทำอะไรก็ล้มเหลว  จะพบว่า นิสัยที่เป็นความดีสากลของพวกเขาเหล่านั้นจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่เชื่อท่านก็ลองสังเกตดู
        หากเราเป็นคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างยั่งยืน สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ ต้องฝึกนิสัยของเราให้เป็นความดีสากลครบทั้ง 5 ประการก่อน


มีผลงานวิจัยที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า
                       “คนเราหากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งติดต่อกันเป็นเวลา 21 วัน สิ่งนั้นจะกลายเป็นนิสัย”
เช่น เราอยากตื่นเช้าตอนตี 5 ให้เป็นนิสัย เราก็ต้องตื่นตี 5 ทุกวัน ติดต่อกัน 21 วัน เราก็จะมีนิสัยตื่นตี 5 เป็นปกติได้เป็นต้น

                           ดังนั้น ถ้าเราต้องการสร้างนิสัยที่ดีให้กับตัวเรา เราก็ต้องฝึกทำสิ่งที่ดี ๆ นั้น ซ้ำ ๆ ติดต่อกัน 21 วัน  เราเริ่มทันทีวันนี้เลยดีไหม

นิสัยดี 5 ประการ

1.           ความสะอาด
2.           เป็นระเบียบ
3.           ความสุภาพ
4.           ตรงต่อเวลา
5.           สมาธิ
                          เชื่อว่าท่านจะต้องมีนิสัยที่ดีเหล่านี้อยู่บ้างแล้วไม่มากก็น้อย แต่เราจะเริ่มฝึกให้เป็นนิสัยที่ดีแบบเข้มข้นขึ้น เช่น
1.            ดูแลรักษาความสะอาด สุขอนามัยของตนเอง
2.           ฝึกระเบียบโดยตื่นนอนแล้วเก็บที่นอนพับผ้าห่มทันที เราจะได้นิสัยสะอาดและเป็น       ระเบียบ
3.           เลิกพูดคำหยาบ สบถ สำรวมในคำพูด เราจะได้นิสัยสุภาพ
4.           ตรงต่อเวลา เช่น ตื่นตรงเวลา ทำกิจกรรมตามเวลาที่กำหนด นัดหมายตรงเวลา เราจะได้นิสัยซื่อตรง
5.           นั่งสมาธิทุกวัน
                                   ฝึกหัดขัดเกลาตัวเราเองทุกวันติดต่อกัน 21 วัน จะกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ นิสัยที่เป็นความสากล 5 ประการนี้ จะส่งเสริมให้เราประสบความสำเร็จในทุกด้าน ทั้งธุรกิจหน้าที่การงาน และครอบครัวอบอุ่น ลูกหลานก็จะมีความสุข
ฝึกนิสัยตัวเราก่อน
ฝึกทันที ฝึกทุกที่ ฝึกทุกเวลา ฝึกอย่างมีความสุข
เราจะฝึกไปด้วยกัน สำเร็จไปด้วยกันนะครับ





วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

คุณยายอาจารย์ มหาอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง


                         "วิชชาธรรมกาย
      สร้างคนธรรมดาให้มีฤทธิ์ มีอานุภาพ
         ให้สามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์
      ฝากไว้ในโลกนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์" 

คำกล่าวนี้ เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ เรื่องราวชีวประวัติของ
 คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง 
หรือคุณยายจันทร์ของเรานั่นเอง ท่านเกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2452 เมื่อ 105 ปีที่ผ่านมา ท่านเป็นลูกชาวนาที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ท่านเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จึงอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ท่านสามารถเป็นผู้นำในการสร้างความดี นำหมู่คณะบุกเบิกสร้างวัดพระธรรมกาย ทำให้วิชชาธรรมกายขยายไปทั่วโลก ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง คนธรรมดา ๆ อย่างเรา คงทำไม่สำเร็จอย่างแน่นอน แต่เพราะ
คุณยายอาจารย์ท่านมีคุณวิเศษ มีฤทธิ์ มีอานุภาพด้วยวิชชาธรรมกาย 
                  ท่านจึงสามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ยังได้เคยกล่าวยกย่องไว้ว่า  
“คุณยาย เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ สำหรับหลวงพ่อ”
                        เกียรติประวัติคุณธรรมคุณงามความดี ตลอดจนคำสอนของคุณยายอาจารย์มีบันทึกไว้ให้ ศิษยานุศิษย์และสาธุชนทั้งหลายได้ศึกษาและนำมาประพฤติปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดกุศลผลบุญแก่ชีวิตของตนยิ่งขึ้นไปนั้นมีมากมายเกินคำบรรยาย แต่เพื่อให้ท่านที่พึ่งมารู้จักกับหมู่คณะเราและท่านที่ยังไม่รู้จักคุณยายลึกซึ้งนัก ได้ทราบถึงคุณวิเศษที่ทำให้คุณยายเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ไว้สัก สองสามประการเท่าที่พื้นที่จะอำนวย เพื่อให้เราทั้งหลายทราบไว้เป็นกำลังใจในการสร้างบารมีต่อไป
ตรวจความเรียบร้อยและชื่นชมวัดของท่าน
  คุณสมบัติอันเป็นคุณวิเศษของท่านประการแรกนั้น คือ ท่านมีความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายอย่างแน่วแน่   
จากประวัติของท่านก็คือ ท่านมีความกังวลอยู่ในใจตลอดเวลาหลังจากที่พ่อของท่านเสียชีวิตไปแล้วคือ  กลัวว่าจะต้องหูหนวกไปอีก 500 ชาติตามที่ท่านคิดว่าพ่อได้แช่งไว้ เพราะท่านไม่ได้ขอขมาในตอนที่พ่อของท่านจะเสียชีวิต จนกระทั่งมีคำร่ำลือว่า หลวงปู่สดวัดปากน้ำ มีวิชาสอนให้คนสามารถไปเที่ยวนรก สวรรค์ได้ ท่านจึงตั้งใจจะไปเรียนวิชานี้ เพื่อจะได้ตามไปขอขมาพ่อซึ่งตายไปแล้วให้ได้ และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ท่านตัดใจจากบ้านตอนอายุได้ 26 ปี ละทิ้งสมบัติพัสถานเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ยอมเป็นคนรับใช้ในบ้านของคหบดีที่เขาเป็นอุปัฏฐากวัดปากน้ำ เพื่อรอให้มีโอกาสที่จะได้เข้าไปเรียนวิชชาที่วัดปากน้ำ และในยุคนั้น หลวงปู่สดวัดปากน้ำ ได้ส่งคุณยายทองสุข สำแดงปั้น ครูสอนสมาธิ มาแนะนำธรรมปฏิบัติให้กับคหบดีท่านนี้ด้วย
                                โดยปกติแล้ว คนรับใช้ในบ้านสมัยนั้น จะไม่มีโอกาสได้ฝึกสมาธิร่วมกับเจ้านาย    แต่ด้วยคุณยายอาจารย์มีคุณสมบัติอันเป็นคุณวิเศษประการที่สอง คือ เป็นคนรักความสะอาด มีความเป็น  ระเบียบเรียบร้อย รับใช้เจ้านายด้วยความขยัน ซื่อสัตย์     จนเป็นที่รักและไว้วางใจ คุณยายจึงได้รับอนุญาตให้เรียนสมาธิกับคุณยายทองสุขได้ด้วย คุณยายอาจารย์ท่านได้ดูแลปรนนิบัติคุณยายทองสุข ที่เป็นครูสอนสมาธิเป็นอย่างดี จนได้รับความเมตตาถ่ายทอดวิชชาให้อย่างเต็มที่เช่นกัน  คุณยายจันทร์ได้ใช้เวลาที่เป็นส่วนตัวหลังเสร็จภารกิจจากงานบ้านแล้วฝึกสมาธิอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาถึง 2 ปี จึงเข้าถึงพระธรรมกาย และได้ใช้วิชชาธรรมกายนี้ตามหาพ่อจนเจอ ได้ขอขมาและช่วยให้ท่านพ้นจากนรกขุม 5 เพียงเพราะดื่มเหล้าแค่วันละ10 สตางค์นั้น ให้มาเสวยสุขในทิพย์วิมานในสวรรค์ได้      เมื่อบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งใจได้แล้ว ท่านก็ไม่มีความจำเป็นต้องอดทนอยู่เป็นคนรับใช้อีกต่อไป เมื่อท่านอายุ 29 ปี คุณยายทองสุขได้พาท่านเข้าวัด และได้ชวนกันโกนหัวบวชชี เพื่อเรียนวิชชาธรรมกายขั้นสูงกับพระเดชพระคุณหลวงปู่  

คุณสมบัติอันเป็นคุณวิเศษของคุณยายประการต่อมา คือ ท่านมีความขยันอดทนและมีความเพียรเป็นเลิศ

ทำให้ท่านเชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกายในระดับที่หลวงปู่ เอ่ยปากชมไว้ว่า “ลูกจันทร์นี้ เป็นหนึ่งไม่มีสอง”  
 ได้ทำวิชชาอยู่กับหลวงปู่สดวัดปากน้ำมาโดยตลอดผ่านความอัตคัดอดอยากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และอยู่เรื่อยมาจวบจนหลวงปู่มรณภาพในปี 2502 ลูกศิษย์ท่านอื่น ๆ ได้แยกย้ายกันไป แต่ท่านยังคงอยู่สอนวิชชาธรรมกายที่บ้านธรรมประสิทธิ์ในวัดปากน้ำ เพื่อรอลูกศิษย์ผู้จะมาสืบทอดวิชชาธรรมกาย ตามคำสั่งของหลวงปู่ จนกระทั่งในปี 2506 มีนักเรียนหนุ่มจากโรงเรียนสวนกุหลาบได้มาตามหาคุณยายจันทร์    ด้วยแรงบันดาลใจที่อ่านจากหนังสือ  ”วิปัสสนา บันเทิงสาร” มาพร้อมกับคำถามที่ค้างคาใจมานานว่า
นรก สวรรค์ มีจริงไหม”         และคุณยายก็มีคำตอบที่โดนใจว่า
“จริงคุณ ยายไปมาแล้ว ไปช่วยพ่อจากนรก คุณอยากไปไหมละ ยายจะพาไป” 
                          นับจากนั้นมานักเรียนหนุ่มคนนั้นก็ฝากตัวเป็นศิษย์ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกาย จนมีผลการปฏิบัติที่ยอดเยี่ยม แล้วยังได้ชักนำคนหนุ่มสาวมาเรียนสมาธิกับคุณยายอีกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งในปี 2512 ลูกศิษย์คนแรกของคุณยายจันทร์เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่านจึงจัดงานอุปสมบทให้ที่วัดปากน้ำ ซึ่งก็คือ   พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี หลวงพ่อธัมมชโย                                                                   
ได้รับบริจาคทีดิน 196 ไร่ เพื่อสร้างวัดจากทุ่งนาฟ้าโล่ง
                   เมื่อท่านมีพระ มีหมู่คณะที่เพียบพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมสละชีวิตเป็นเดิมเพื่อสร้างบารมีได้แล้ว ท่านได้ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างวัดให้เป็นวัด สร้างพระให้เป็นพระแท้ สร้างคนให้เป็นคนดีที่โลกต้องการ ขณะนั้นท่านอายุได้ 61 ปีแล้ว มีเงินทุนเบื้องต้นเพียง 3.200 บาท ท่านยังมีความกล้าหาญ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ริเริ่มจากการหาที่ดินในปี พ.ศ. 2513  นำหมู่คณะมาบุกเบิกสร้างวัดท่ามกลางปัญหาอุปสรรคนานัปการ แต่ด้วยและด้วยคุณสมบัติอันเป็นคุณวิเศษของคุณยายอาจารย์ที่

ท่านมีความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่ชัดเจนแน่วแน่ บวกกับความอดทน ขยันหมั่นเพียร รักความสะอาดเรียบร้อย มีความเคารพ อ่อนน้อม มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เมื่อผนวกกับอานุภาพของวิชชาธรรมกาย      ทำให้ท่านสามารถสถาปนาวัดพระธรรมกายและวางรากฐานในการพัฒนาวัดอย่างมีระบบระเบียบที่มั่นคง เป็นผู้สนับสนุนให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชัยโย เป็นผู้นำของหมู่คณะในการสร้างบารมี มีกิจกรรมในการศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างแพร่หลาย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
อุโบสถวัดพระธรรมกาย
                   เมื่อภารกิจท่านเสร็จสิ้นตามเป้าหมายแล้ว ท่านได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ 10กันยายน พ.ศ.2543 ในขณะที่ท่านอายุได้ 92 ปี ลูกหลานยายได้ร่วมใจกันสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลให้คุณยายเป็นเวลา 500 วัน ในวันสลายร่างนั้น ได้มีมหาเถระ พระเถรานุเถระ พระสังฆาธิการ รวมนับแสนรูป จาก 30.000 วัดทั่วโลกมาร่วมงาน ซึ่งไม่เคยมีบุญพิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน
 นอกจากนี้เหล่าศิษยานุศิษย์ยังได้ร่วมกันสร้างอนุสรณสถานเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน ได้แก่ วิหารคุณยาย  หอฉันคุณยาย และอาคาร 100 ปี คุณยาย ซึ่งกำลังก่อสร้างเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่พระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก
วิหารคุณยาย ประดิษฐานรูปปั้นทองคำ เครื่องใช้และรัตนอัฐิธาตุ
หอฉันคุณยาย 
อาคาร 100 ปี คุณยาย อาคารสำนักงานใหญ่ ศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก
                 วิชชาธรรมกาย เปลี่ยนหญิงสาวชาวชนบทธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ให้กลายมาเป็นผู้นำในการสร้างความดี มีชนทุกชั้นก้มกราบในคุณธรรมอันสูงส่ง 
 คุณยายเป็นมนุษย์มหัศจรรย์สำหรับหลวงพ่อ
ไม่มีคุณยาย ก็ไม่มีหลวงพ่อ ไม่มีวัดพระธรรมกาย
 คุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง 
บัดนี้โลกได้จารึกไว้แล้วว่า ท่านคือผู้สถาปนาวัดพระธรรมกาย

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

Bahrain ประเทศรวย ๆ เล็ก ๆ ในอ่าวเปอร์เซีย


พี่ฝ้าย & น้องแก้ว

                  ป้าตัดสินใจไปรับบุญที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมบาห์เรนอีกครั้งหลังจากที่ศูนย์โอมานต้องปิดไป   ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้ป้าจะแก่ไปหน่อยแต่ก็ยังพอมีประโยชน์ต่องานพระศาสนาอยู่บ้าง เป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสมบุญใหญ่สุดพิเศษนี้ให้ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  และเมื่อเราไปอยู่ที่ไหน เราก็น่าจะได้ทำความรู้จักกับประเทศเขาด้วยใช่ไหม
 ดังนั้น เรามารู้จักกับประเทศบาห์เรนกันนะคะ

                                        Bahrain มีชื่อที่เป็นทางการ ว่า "The Kingdom of Bahrain" มาตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ 2002 ปกครองโดยระบบรัฐสภาภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี  โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขปัจจุบันคือ King Hamad bin Isa Al Khalifah ซึ่งครองราชย์มาตั้งแต่ ปี คศ. 2001 
                       Bahrain เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ไกล้ฝั่งทางทิศตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย รวมเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวน 33 เกาะเข้าเป็นประเทศ มีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดิน 619 ตารางกิโลเมตร เมื่อรวมน่านน้ำรอบเกาะด้วยก็มีเพียง 665 ตารางกิโลเมตร เทียบกับเกาะภูเก็ตบ้านเรา ซึ้งมีพื้นที่ 545 ตารางกิโลเมตร  จะเห็นว่าใหญ่กว่าภูเก็ตเพียง100 กว่า ๆ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น  เมืองหลวงของเขาชื่อว่า "Manama"   ตั้งอยู่บนเกาะทางเหนือที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีความยาว 55 กิโลเมตร            ความกว้าง 18 กิโลเมตร เท่านั้นเอง ประชากรทั้งประเทศของเขามีเพียง 1.5 ล้านคน อาศัยอยู่ในเมืองหลวงประมาณ 200,000 คน นอกนั้นจะกระจายไปตามเกาะต่าง ๆ ส่วนชาวต่างชาติที่มาทำงานมีอยู่ประมาณ 700,000 คน ทั่วประเทศ
                            Bahrain ปรากฏหลักฐานว่าเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลมานานกว่า 4,000 ปีมาแล้ว มีชนพื้นเมืองเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้มายาวนาน แต่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรีกบ้าง เตริกส์ และโปรตุเกตบ้าง รวมทั้งอิหร่านก็เคยประกาศว่า บาห์เรนเป็นดินแดนของตนด้วย สุดท้ายหมู่เกาะแห่งนี้ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษมาตั้งแต่ปี คศ. 1820 และพึ่งได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม คศ. 1971 ที่ผ่านมาเพียง 40 ปี กว่า ๆ แค่นั้นเอง


                      อาชีพดั้งเดิมของชนพื้นเมืองในหมู่เกาะบาห์เรนนี้ คือ "งมหอยมุก"  ไข่มุกเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญมีชื่อเสียงและสร้างรายได้ให้ประชาชนมาเป็นเวลายาวนาน ยุคทองของไข่มุก คือช่วงระหว่าง ปี คศ.1850 - ปี คศ.1930 ที่ไข่มุกมีราคาล้ำค่ายิ่งกว่าเพชรนั้น ไข่มุกของบาห์เรนจะมีชื่อเสียงมากที่สุด จนกระทั่งได้มีการพัฒนาการเลี้ยงหอยมุกและการค้าไข่มุกเลี้ยงเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ราคาไข่มุกแท้ที่เคยแพงยิ่งกว่าเพชร แพงยิ่งกว่าทองคำ ต้องตกต่ำลง ทำลายตลาดไข่มุกแท้ให้ซบเซาและย่อยยับลงในที่สุด ในปี 1940 ถือว่าสิ้นสุดยุคทองของไข่มุกอย่างแท้จริง คงเหลือร่องรอยความยิ่งใหญ่ของการค้าไข่มุก คือ แหล่งธรรมชาติของหอยมุกและหน่วยงานที่ตรวจสอบและออกใบรับรองคุณภาพไข่มุก ซึ่งได้กลายเป็นมรดกโลกไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ปัจจุบันการงมหอยมุกยังมีเพียงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเพื่อโชว์นักท่องเที่ยวเท่านั้น ความโชคดีของบาห์เรนเกิดขึ้นในปี คศ. 1932 ที่ได้มีการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกในตะวันออกกลาง  บาห์เรนจึงเปลี่ยนโฉมหน้ามาเป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการขายน้ำมันดิบนับจากนั้นเป็นต้นมา








 Bahrain ยุคปัจจุบัน เร่งการพัฒนาประเทศให้เท่าเทียมความเจริญของโลกยุคโลกาภิวัฒน์หลังได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษมีการสร้างาธารณูปโภคอย่างเร่งด่วนมีการถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับการก่อสร้างอาคารให้เป็นศูนย์กลางการค้าขาย ส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวในแขนงต่าง ๆ มีการสร้างตึกสูงระฟ้าแข่งขันกันอย่างขนานใหญ่

 
จุดชายแดนบนสะพานสู่ซาอุดิอาราเบีย
 ที่สำคัญมีการสร้างสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ของ  Saudi Arabia ระยะทางยาวถึง 26 กิโลเมตร และยังมีโครงการสร้างสะพานข้ามทะเลเชื่อมไปยัง Qatar ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าอีกไม่นานก็จะแล้วเสร็จ นอกจากนี้แล้วยังได้สร้างสะพานเชื่อมระหว่างเกาะเล็กเกาะน้อยเพิ่มขึ้นอีกมากมายเพื่อให้การเดินทางไปมาหากันระหว่างเกาะต่าง ๆ รวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
แผ่นดินที่เกิดจากการถมทะเล
 












                              Bahrain เป็นประเทศเดียวในคาบสมุทรอาราเบียที่ชาวต่างชาติต่างศาสนามาอยู่แล้วรู้สึกผ่อนคลายและสะดวกสบาย เพราะบาห์เรนเปิดกว้างสำหรับการลงทุนและการท่องเที่ยวให้กับชาวต่างชาติ ข้อปฏิบัติตามกฏหมายมุสลิมจึงไม่เคร่งครัดมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคแห่งนี้ ชาวต่างประเทศแม้แต่ชาวอาหรับด้วยกันเองก็นิยมเดินทางมาพักผ่อนหาความสำราญในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บาห์เรน ธุรกิจการท่องเที่ยวดูจะเติบโตได้รวดเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

            จนกระทั้งในปี คศ. 2011ที่เกิดความไม่สงบขึ้นภายในประเทศ มีการประท้วงและปะทะกันระหว่างมุสลิมนิกายสุนหนี่และชีอะห์ รัฐบาลต้องปราบปรามอย่างหนักทำให้ เศรษฐกิจของบาห์เรนเกิดการชงักงัน ชาวต่างชาติหนีออกนอกประเทศ ธุรกิจต่าง ๆ ซบเซาลง แม้ขณะนี้จะได้พยายามฟื้นฟูอย่างเต็มที่ แต่เศรษฐกิจก็คงจะชลอตัวไปอีกนานตราบใดที่คนในชาติยังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขาดความสามัคคีพร้อมเพรียงเช่นนี้ ความสุขสมบูรณ์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน

ดังพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า    " สุขา สงฺขสฺสะ สามคฺคี "
.... ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข.....

                              ประเทศไทยที่รักของเราล่ะ เมื่อไหร่จะถึงยุค.."รักสามัคคี" โดยพร้อมเพรียงกันซะที รักสามัคคีกันเมื่อไรละก้อ ประเทศไทยของเราก็จะเป็นไทยมหารัฐได้ไม่ยากเลย 

 สำหรับคนไทยเขามาทำอะไรกันบ้างที่ประเทศบาห์เรน ป้าเก็บเอาไว้เล่าให้ฟังในฉบับต่อไปนะจ๊ะ

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Salalah "Perfume capital of Arabia"

พี่ฝ้าย & น้องแก้ว

                                ป้าจะพาไปเที่ยวเมืองทางใต้ของโอมานที่ชื่อว่า Salalah นะคะ เมืองนี้ถ้าจะเทียบกับบ้านเราก็เหมือนเราอยู่กรุงเทพแล้วไปเที่ยวภูเก็ตนั่นแหละ คนโอมานเขานิยมหลบร้อนในเมืองกรุงไปพักผ่อนที่ Salalah ในช่วงหน้าร้อน เพราะอากาศที่ Salalah จะเย็นกว่ามาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม มีฝนตกชุ่มเย็น ภูเขามีพืชมีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม มีน้ำตกไหลริน พืช ผัก ผลไม้ ของเมืองนี้จึงมีคล้าย ๆ กับเมืองในเขตร้อนบ้านเรา ดังนั้นจึงสามารถเห็นมะพร้าว กล้วย อ้อย มะละกอ ส้มโอ วางขายข้างทางเหมือนตลาดกลางดงบ้านเราเลย

                                                               Salalah เป็นเมืองหลวงของรัฐ Dhofar    ตั้งอยู่ทางตอนใต้ห่างจากกรุงมัสกัต เมืองหลวงของประเทศโอมาน  ระยะทาง 1,020 กิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโอมานรองจากกรุงมัสกัต มีประชากรประมาณ 200,000 คน และเป็นบ้านเกิดของ Sultan qaboos เพราะตอนที่พระบิดาของท่านครองราชย์นั้น เมือง Salalah ยังเป็นเมืองหลวงของ  Sultanate of Oman ในระหว่าง คศ. 1932 - 1970 เมื่อ Sultan Qaboos  ขึ้นครองราชย์ในปี 1970 จึงได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงมัสกัต จึงนับว่า Salalah เป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งทางด้านการค้า วัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคมของชาวโอมานมาแต่โบราณกาล
                                 ด้วยระยะทางที่ไกลถึงกว่า1,000 กิโลเมตร เส้นทางต้องผ่านทะเลทรายที่ว่างเปล่า สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งผู้คนสัญจรไปมา ก็มีเพียงเล็กน้อย ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยว Salalah ส่วนใหญ่นิยมนั่งเครื่องบิน และสายการบินโอมานแอร์ก็มีบริการบินจากกรุงมัสกัตไปSalalah วันละ 5 เที่ยวบิน ส่วนรถโดยสารปรับอากาศที่วิ่งจากมัสกัตถึง Salalah ที่มีวันละ 3 เที่ยวนั้น ผู้ใช้บริการก็จะเป็นผู้ใช้แรงงานชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
                                              สำหรับการเดินทางไปSalalah ของป้านั้น ทำตามแบบที่ชอบของครอบครัวเรา คือเตรียมอาหารการกินให้พร้อมสรรพ แล้วก็ขับรถยนต์ไปเอง ออกจากมัสกัตตอนตี 5 ขับเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เจอเมืองเจอปั๊มก็แวะกินข้าวที่ห่อมา พักยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็ขับรถต่อ ถึงSalalah ตอน 5 โมงเย็น ใช้เวลาเดินทาง สบาย ๆ 12 ชั่วโมง มีบ้านพักแบบอพาร์ทเมนท์กว้างขวางให้เช่ารายวัน ๆ ละ 15 รีล อยู่อย่างสบายและถูกกว่าโรงแรมมาก    ป้าพักผ่อนหย่อนใจที่นั่น 3วัน 3 คืน จึงเดินทางกลับ เป็นการเดินทางที่ไม่โหดอย่างที่คนเขาพูดกัน โดยเฉพาะพี่อ้อมกับพี่เล็กขู่ว่า ระยะทางไกลมาก และไม่มีห้องน้ำให้เข้า ไม่มีร้านขายกาแฟ ไม่มีวิวสวยให้ดูเหมือนทางไปโคราชหรอกนะ แม่อย่าขับรถไปเองโดยเด็ดขาดนะคะ ป้าให้เหตุผลเขาว่า   "แม่เคยขับรถจากโคราชขึ้นเชียงรายเป็นประจำอยู่แล้ว" เขาก็โวยว่า "แม่...นั่นมันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนนี้แม่อายุเท่าไหร่แล้ว" และแล้วป้าก็เป็นแม่ที่อยู่ในโอวาทลูกน่าดู คือ ขับรถไปกลับมาแล้วจึงบอกเขาว่า แม่ไปมาแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตาปริบปริบในความดื้อของแม่ตัวเอง
                          
                              เมื่อถึงเมือง Salalah แล้ว จะไม่มีบรรยากาศทะเลทรายหลงเหลืออยู่เลย ยกเว้นมีอูฐหลงมาเดินเล่นที่ชายหาด  สองข้างทางจะมีร่องสวน
มะพร้าวเหมือนแถวบางขุนเทียนอย่างนั้นเลย แถมยังมีร้านขายผลไม้ข้างทางเหมือนแถวปากช่องบ้านเรา ถนนริมทะเลก็จะมีวิวที่สวยด้วยต้นมะพร้าวเหมือนทะเลบ้านเราด้วย
                                     ผู้คนที่นี่จะตัวเล็ก ๆ ผิวคล้ำกว่าคนในกรุงมัสกัต เขาจะมีภาษาท้องถิ่นพูดกันไม่เหมือนภาษากลาง  ซึ่งคงเหมือนเราอู้กำเมือง แลงตายหรือเว้าลาว นั่นเอง แต่เขาก็จะใช้อาราบิคเป็นภาษากลาง และใช้ภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติได้ดี คนโอมานที่นี่เป็นมุสลิม 100% และส่วนใหญ่จะนับถือนิกาย Sunni ซึ่งแตกต่างจากคนโอมานในมัสกัตที่ส่วนใหญ่จะนับถือนิกาย Ibadhi สำหรับแรงงานต่างชาติที่มีอยู่มากมายในเมืองที่เป็นคริสเตียน พุทธ ฮินดู ซิกส์ ก็สามารถปฏิบัติศาสนกิจของตนได้ไม่มีการหวงห้าม

                               Port of Salalah        หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ Raysut Harbour เป็นท่าเรือน้ำลึก ศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลเชื่อมระหว่างอัฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเซีย สินค้าที่สำคัญประดุจทองคำในสมัยก่อนนั้น  คือ       ยางไม้หอมที่มีชื่อว่า     " Frankincense" หรือ " Boswellia Sacra" ได้มีการค้าขายแลกเปลี่ยนที่ท่าเรือแห่งนี้มายาวนานกว่า 5,000 ปี ยางไม้นี้ เมื่อนำไปเผาไฟแล้วจะมีกลิ่นหอม สมัยโบราณจะใช้เผาในพิธีทางศาสนา พิธีบูชาเทพเจ้า และใช้เป็นเครื่องบรรณาธิการอันล้ำค่าให้กับกษัตย์ผู้ครองนครต่าง ๆ ดังเช่น พระนางชีบาแห่งเยเมนหรือเอธิโอเปียนี่แหละ ได้เอายางไม้หอมที่ว่านี้เป็นเครื่องสักการะและบรรณาการแด่กษัตย์โซโลมอนแห่งกรุงเยรูซาเร็ม จนสามารถเปลี่ยนจากเมืองที่เป็นอริกันให้กลายมาผูกสมัครรักใคร่จนได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ว่ากันว่า พระนางชีบาเดินทางมา Salalah เพื่อซื้อหายางไม้หอม Frankincense ด้วยพระองค์เองบ่อยครั้งจนถึงกับต้องสร้างตำหนักสำหรับพักกองคาราวานที่จะขนยางไม้หอมนี้กลับไปด้วย นั่นคือเหตุการณ์เมื่อก่อนคริสตศักราช 970-931 โน่น
                ด้วยเหตุที่ต้นไม้ที่ให้ยางหอมที่มีชื่อเสียงนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่นี่     Salalah         จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น
" Perfume Capital of Arabia"
                         จากที่ เขามีต้นยางหอมเป็นของตนเอง คนโอมานจึงชอบใช้น้ำหอมในชีวิตประจำวันในปริมาณมาก ๆ เขาจะขาดน้ำหอมกันไม่ได้เลย แม้ในยุคสมัยใหม่นี้ ยางไม้หอมที่นี่จะกลายเป็นวัตถุดิบในการสกัดน้ำหอมชั้นนำราคาแพงของโลกไปแล้วก็ตาม แต่คนโอมานก็ยังใช้ยางหอมนี้เผาสร้างกลิ่นหอมเพื่อการบำบัดรักษาแบบ Aroma บ้าง เผาเพื่อเป็นการปรับอากาศในอาคารบ้านเรือนบ้าง ซึ่งจะพบเห็นได้ง่ายมากเมื่อเดินตามตลาดห้างร้านใหญ่ ๆ ในเมือง เขาจะเผากลิ่นนี้ตลบอบอวล คนที่ไม่คุ้นชินการใช้น้ำหอมอย่างเรา ก็พาลจะเป็นลมเพราะกลิ่นหอมของเขานี่เอง  
                              ความสำคัญของการเผายางไม้หอมนี้จะเห็นได้จากรูปปั้นเตาเผาไม้หอมกลายเป็นสัญญลักษณ์ที่แสดงความเป็นโอมานประดับอยู่ตามสถานที่สำคัญต่าง ๆเช่นตามวงเวียนก็มีประดับไว้เช่นกัน  แม้กระทั่งโลโก้ของสายการบินโอมานแอร์ที่เห็นนั้น ก็คือภาพควันหอมระเหยของFrankincense นั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Sharqiyah Sand & Camel of Oman

พี่ฝ้าย & น้องแก้ว
 
                                   พาเที่ยวโอมานของป้าที่ผ่านมา จะเป็นความสวยงามของทะเลซะเป็นส่วนใหญ่ จนแทบจะลืมไปเลยว่า โอมานเป็นประเทศทะเลทรายในตะวันออกกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่ของเขาเป็นภูเขาหินและทะเลทราย นี่ป้าต้องอ้อนวอนพี่เล็กอยู่ตั้งนานกว่าจะได้ไปเห็นทะเลทรายของเขา ด้วยต้องรอจังหวะที่มีเวลาว่างพร้อมกันในช่วงฤดูหนาว ป้าได้ไปในเดือนกุมภาพันธ์ ถือว่าอากาศกำลังดี ไม่หนาวมากไม่ร้อนมาก ที่อยากไปทะเลทรายเพราะเคยเห็นภาพแต่ในหนัง ในโทรทัศน์ พอไปเห็นด้วยตนเองก็ตื่นเต้นที่เห็นทะเลทราย ทราย ทราย เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาเป็นครั้งแรก  นอกจากทะเลทรายแล้วยังได้เจออูฐตัวเป็น ๆ ให้เห็นจริงๆ ด้วย ดังนั้น เมื่อจะเล่าเรื่องทะเลทรายก็จะแถมเรื่องอูฐของโอมานไปด้วย เพราะเป็นของที่เขาอยู่คู่กัน 
                         

                           โอมานเขามีพื้นที่ทั้งหมด 309,500 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ 82% เป็นภูเขาหินและทะเลทราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายในคาบสมุทรอาราเบีย มีชื่อเรียกว่า Rub al Khali เป็นดินแดนว่างเปล่ามนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ทะเลทรายนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ได้รวมเอาดินแดนของหลายประเทศไว้ เช่น Saudi Arabia,Yemen,United Arab Emirates. สำหรับทะเลทรายส่วนที่เป็นดินแดนของประเทศโอมานนั้นอยู่ในรัฐ Al Sharqiyah เรียกว่า Wahiba Sand เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ คือ จากเหนือจรดใต้ยาวประมาณ 180 กิโลเมตร จากตะวันออกถึงตะวันตกความกว้างเฉลี่ย 80 กิโลเมตร เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของเบดูอีน (Bedouin)ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าดั้งเดิมของชาวอาหรับ ที่ปรากฏหลักฐานว่าชนเผ่าเบดูอีนได้อพยพเร่ร่อนเข้ามาอาศัยในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ 5,000 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันเบดูอีนรุ่นใหม่ ได้เข้ามาตั้งรกรากในเมือง ได้รับการศึกษาและทำมาหากินในเมืองต่าง ๆ ยังคงเหลือเร่ร่อนในทะเลทรายแบบดั้งเดิมอยู่เพียงเล็กน้อย
ชุมชนชาวเบดูอินกลางทะเลทราย Wahiba

                     หากเราจะไปเที่ยวทะเลทรายแบบไปกางเต้นท์นอนสัก 1 คืน ทดลองขี่อูฐ กินอาหารเย็นและชมการแสดงวัฒนธรรมของเบดูอีนแบบแคมป์ไฟ ก็สามารถซื้อแพคเกจทัวร์ได้ง่าย ค่าใช้จ่ายรวมหมดทุกอย่างประมาณ 80 รีลต่อคน ใครที่อยากตัดขาดจากโลกภายนอกก็จะได้ปลีกวิเวกสมใจอยาก เพราะที่นั่นจะไม่มีทีวี ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีอินเทอร์เนต และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกด้วย
                        ส่วนการไปของป้านั้น ขับรถไปตามเส้นทางไปเมือง Surต่อไปตามเส้นทางสู่เมือง Ibra ระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร ถึงทางแยกเข้าสู่ Wahiba Sand แล้วใช้บริการของหนุ่มเบดูอีนนำทางไปชมความงามของ Sand dune และโฉบไปตามเต้นท์ต่าง ๆ ที่เบดูอีนเขาพักอาศัย และไปเยี่ยมลูกน้อยพึ่งคลอดของอูฐกลางทะเลทรายด้วย ได้เห็นรีสอร์ทที่เป็นเต้นท์กลางทะเลทรายชื่อว่า 1,001 nights Camp จึงทำให้นึกได้ว่าตำนาน " อาหรับราตรี หรือ พันหนึ่งราตรี" ก็มีต้นกำเนิดจากดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เช่นกัน เล่ากันว่า ..เจ้าชายอาหรับคนนึง เมื่อจับได้ว่าชายาของตนมีชู้ ก็ฆ่าชายาและชู้รวมทั้งข้าทาสบริวารของชายาทิ้งหมด ด้วยความโกรธแค้นเมื่อได้หญิงใดมานอนด้วย รุ่งเช้าก็ประหารชีวิตเสีย แล้วสั่งให้หาหญิงใหม่มาหลับนอนแล้วฆ่าทิ้งเรื่อยไป จนถึงคิวนางเอกที่ทั้งสาว ทั้งสวย ทั้งฉลาด นามว่าคีตา เมื่อเสร็จภาระกิจกับเจ้าชายแล้ว นางก็จะเล่านิทานไปจนรุ่งเช้า นิทานก็ยังไม่จบเรื่อง นิทานที่นางเล่าก็จะสนุกสนาน ตื่นเต้น น่าติดตาม ทำให้เจ้าชายงดการประหารชีวิตเพื่อจะฟังนิทานตอนต่อไปในคืนวันรุ่งขึ้น สาวคีตาก็เล่านิทานไปทุก ๆ คืน โดยจะแทรกคติธรรมคำสอนให้เห็นคุณค่าของสตรีไปด้วย เล่านิทานไปเรื่อย ๆ จน ถึง 1001 คืน นิทานก็จบลงโดยไม่โดนประหารชีวิต เพราะเจ้าชายซาบซึ้งถึงคุณค่าของสตรีและหลงรักนางเอกซะแล้ว เรื่องเลย Happy Ending.
                

                                       เฮ้อ.. ไปซะไกล กลับมาเรื่องอูฐดีกว่า      อูฐของโอมาน เขามีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน แต่ละสายพันธุ์ก็ยังคงมีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ เขาจะมีโหนกกลางหลังเพียงโหนกเดียวซึ่งแตกต่างจากอูฐในจีนและที่อื่น ๆ ที่เขาจะมีโหนกกลางหลัง 2 โหนก เหมือนที่เราได้เห็นในหนังหรือในโทรทัศน์นั่นแหละ อูฐเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่สวยเอาซะเลยในความเห็นของป้า ทั้งหลังโก่ง ตะปุ่มตะป่ำ ขาก็เก้งๆ ก้าง ๆ ท่าเดินก็กระโดกกระเดก เห็นอูฐทีไรต้องยิ้มทุกทีเพราะทำให้นึกไปถึง นางประแดะ นางเอกของพระมะเหลเถไถย ที่เขาบรรยายชมความงามของนางว่า
 "สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด       งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า  
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตา           สองปลั่งกัลยาดั่งลูกยอ"
                                    นางคงจะสวยแบบอูฐที่เห็นนี่แหละ

    

 ที่น่ารักของอูฐเขาก็มีนะ อูฐเขาดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา ยิ้มแบบมีมิตรไมตรี ท่าทางไม่อวดดื้อถือดี ดูท่าทางเชื่องน่าไว้เนื้อเชื่อใจ



                                    ชาวโอมานเขาผูกพันกับอูฐมาตั้งแต่บรรพกาล     อูฐเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นยานพาหนะ บรรทุกสินค้าสัมภาระในการท่องทะเลทราย และเป็นอาหารไปด้วยพร้อมสรรพ
                  นอกจากนี้เขายังฝึกอูฐสำหรับวิ่งแข่งขันกัน จนการแข่งวิ่งอูฐเป็นกีฬาประจำชาติของเขาด้วย ว่ากันว่าอูฐสายพันธุ์จากโอมาน จะเป็นนักวิ่งแข่งที่เก่งที่สุดในอาราเบียด้วย อูฐเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญและมีคุณค่าทางจิตใจของคนโอมานมาก ป้าได้เคยเห็นคนโอมานเขาเอาใจใส่และรักอูฐของเขาขนาดอุ้มลูกอูฐให้อยู่ในรถ แล้วให้เมีย ๆ และผู้หญิงไปนั่งท้ายรถกะบะตากแดดร้อน ๆ แทนอูฐไปตลอดการเดินทาง เสียดายเก็บภาพมาฝากไม่ทัน



 เขาคงคิดว่า
"เมียเราทั้งเก่าทั้งแก่ จะมีค่ามีราคา   เท่าลูกอูฐตัวนึงก็หาไม่ "        
                      เห็นแล้วให้อดนึกขำไม่ได้จริง ๆ
                ดีแล้วนะที่เราได้เกิดเป็นไทย แม้จะเป็นผู้หญิงก็ยังพอมีสิทธิ์มีเสียงมีความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์บ้าง  หากจะต้องเกิดใหม่ ได้เป็นผู้หญิงอีก  สาธุ...... ขออย่าได้เกิดเป็นผู้หญิงอาหรับเลย ไหนจะต้องร้อนระอุท่ามกลางทะเลทราย แล้วยังไม่มีค่า ไม่มีราคาเท่ากับอูฐตัวน้อย ๆ เลย