วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Salalah "Perfume capital of Arabia"

พี่ฝ้าย & น้องแก้ว

                                ป้าจะพาไปเที่ยวเมืองทางใต้ของโอมานที่ชื่อว่า Salalah นะคะ เมืองนี้ถ้าจะเทียบกับบ้านเราก็เหมือนเราอยู่กรุงเทพแล้วไปเที่ยวภูเก็ตนั่นแหละ คนโอมานเขานิยมหลบร้อนในเมืองกรุงไปพักผ่อนที่ Salalah ในช่วงหน้าร้อน เพราะอากาศที่ Salalah จะเย็นกว่ามาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม มีฝนตกชุ่มเย็น ภูเขามีพืชมีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม มีน้ำตกไหลริน พืช ผัก ผลไม้ ของเมืองนี้จึงมีคล้าย ๆ กับเมืองในเขตร้อนบ้านเรา ดังนั้นจึงสามารถเห็นมะพร้าว กล้วย อ้อย มะละกอ ส้มโอ วางขายข้างทางเหมือนตลาดกลางดงบ้านเราเลย

                                                               Salalah เป็นเมืองหลวงของรัฐ Dhofar    ตั้งอยู่ทางตอนใต้ห่างจากกรุงมัสกัต เมืองหลวงของประเทศโอมาน  ระยะทาง 1,020 กิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโอมานรองจากกรุงมัสกัต มีประชากรประมาณ 200,000 คน และเป็นบ้านเกิดของ Sultan qaboos เพราะตอนที่พระบิดาของท่านครองราชย์นั้น เมือง Salalah ยังเป็นเมืองหลวงของ  Sultanate of Oman ในระหว่าง คศ. 1932 - 1970 เมื่อ Sultan Qaboos  ขึ้นครองราชย์ในปี 1970 จึงได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงมัสกัต จึงนับว่า Salalah เป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งทางด้านการค้า วัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคมของชาวโอมานมาแต่โบราณกาล
                                 ด้วยระยะทางที่ไกลถึงกว่า1,000 กิโลเมตร เส้นทางต้องผ่านทะเลทรายที่ว่างเปล่า สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งผู้คนสัญจรไปมา ก็มีเพียงเล็กน้อย ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยว Salalah ส่วนใหญ่นิยมนั่งเครื่องบิน และสายการบินโอมานแอร์ก็มีบริการบินจากกรุงมัสกัตไปSalalah วันละ 5 เที่ยวบิน ส่วนรถโดยสารปรับอากาศที่วิ่งจากมัสกัตถึง Salalah ที่มีวันละ 3 เที่ยวนั้น ผู้ใช้บริการก็จะเป็นผู้ใช้แรงงานชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
                                              สำหรับการเดินทางไปSalalah ของป้านั้น ทำตามแบบที่ชอบของครอบครัวเรา คือเตรียมอาหารการกินให้พร้อมสรรพ แล้วก็ขับรถยนต์ไปเอง ออกจากมัสกัตตอนตี 5 ขับเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เจอเมืองเจอปั๊มก็แวะกินข้าวที่ห่อมา พักยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็ขับรถต่อ ถึงSalalah ตอน 5 โมงเย็น ใช้เวลาเดินทาง สบาย ๆ 12 ชั่วโมง มีบ้านพักแบบอพาร์ทเมนท์กว้างขวางให้เช่ารายวัน ๆ ละ 15 รีล อยู่อย่างสบายและถูกกว่าโรงแรมมาก    ป้าพักผ่อนหย่อนใจที่นั่น 3วัน 3 คืน จึงเดินทางกลับ เป็นการเดินทางที่ไม่โหดอย่างที่คนเขาพูดกัน โดยเฉพาะพี่อ้อมกับพี่เล็กขู่ว่า ระยะทางไกลมาก และไม่มีห้องน้ำให้เข้า ไม่มีร้านขายกาแฟ ไม่มีวิวสวยให้ดูเหมือนทางไปโคราชหรอกนะ แม่อย่าขับรถไปเองโดยเด็ดขาดนะคะ ป้าให้เหตุผลเขาว่า   "แม่เคยขับรถจากโคราชขึ้นเชียงรายเป็นประจำอยู่แล้ว" เขาก็โวยว่า "แม่...นั่นมันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนนี้แม่อายุเท่าไหร่แล้ว" และแล้วป้าก็เป็นแม่ที่อยู่ในโอวาทลูกน่าดู คือ ขับรถไปกลับมาแล้วจึงบอกเขาว่า แม่ไปมาแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตาปริบปริบในความดื้อของแม่ตัวเอง
                          
                              เมื่อถึงเมือง Salalah แล้ว จะไม่มีบรรยากาศทะเลทรายหลงเหลืออยู่เลย ยกเว้นมีอูฐหลงมาเดินเล่นที่ชายหาด  สองข้างทางจะมีร่องสวน
มะพร้าวเหมือนแถวบางขุนเทียนอย่างนั้นเลย แถมยังมีร้านขายผลไม้ข้างทางเหมือนแถวปากช่องบ้านเรา ถนนริมทะเลก็จะมีวิวที่สวยด้วยต้นมะพร้าวเหมือนทะเลบ้านเราด้วย
                                     ผู้คนที่นี่จะตัวเล็ก ๆ ผิวคล้ำกว่าคนในกรุงมัสกัต เขาจะมีภาษาท้องถิ่นพูดกันไม่เหมือนภาษากลาง  ซึ่งคงเหมือนเราอู้กำเมือง แลงตายหรือเว้าลาว นั่นเอง แต่เขาก็จะใช้อาราบิคเป็นภาษากลาง และใช้ภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติได้ดี คนโอมานที่นี่เป็นมุสลิม 100% และส่วนใหญ่จะนับถือนิกาย Sunni ซึ่งแตกต่างจากคนโอมานในมัสกัตที่ส่วนใหญ่จะนับถือนิกาย Ibadhi สำหรับแรงงานต่างชาติที่มีอยู่มากมายในเมืองที่เป็นคริสเตียน พุทธ ฮินดู ซิกส์ ก็สามารถปฏิบัติศาสนกิจของตนได้ไม่มีการหวงห้าม

                               Port of Salalah        หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ Raysut Harbour เป็นท่าเรือน้ำลึก ศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลเชื่อมระหว่างอัฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเซีย สินค้าที่สำคัญประดุจทองคำในสมัยก่อนนั้น  คือ       ยางไม้หอมที่มีชื่อว่า     " Frankincense" หรือ " Boswellia Sacra" ได้มีการค้าขายแลกเปลี่ยนที่ท่าเรือแห่งนี้มายาวนานกว่า 5,000 ปี ยางไม้นี้ เมื่อนำไปเผาไฟแล้วจะมีกลิ่นหอม สมัยโบราณจะใช้เผาในพิธีทางศาสนา พิธีบูชาเทพเจ้า และใช้เป็นเครื่องบรรณาธิการอันล้ำค่าให้กับกษัตย์ผู้ครองนครต่าง ๆ ดังเช่น พระนางชีบาแห่งเยเมนหรือเอธิโอเปียนี่แหละ ได้เอายางไม้หอมที่ว่านี้เป็นเครื่องสักการะและบรรณาการแด่กษัตย์โซโลมอนแห่งกรุงเยรูซาเร็ม จนสามารถเปลี่ยนจากเมืองที่เป็นอริกันให้กลายมาผูกสมัครรักใคร่จนได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ว่ากันว่า พระนางชีบาเดินทางมา Salalah เพื่อซื้อหายางไม้หอม Frankincense ด้วยพระองค์เองบ่อยครั้งจนถึงกับต้องสร้างตำหนักสำหรับพักกองคาราวานที่จะขนยางไม้หอมนี้กลับไปด้วย นั่นคือเหตุการณ์เมื่อก่อนคริสตศักราช 970-931 โน่น
                ด้วยเหตุที่ต้นไม้ที่ให้ยางหอมที่มีชื่อเสียงนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่นี่     Salalah         จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น
" Perfume Capital of Arabia"
                         จากที่ เขามีต้นยางหอมเป็นของตนเอง คนโอมานจึงชอบใช้น้ำหอมในชีวิตประจำวันในปริมาณมาก ๆ เขาจะขาดน้ำหอมกันไม่ได้เลย แม้ในยุคสมัยใหม่นี้ ยางไม้หอมที่นี่จะกลายเป็นวัตถุดิบในการสกัดน้ำหอมชั้นนำราคาแพงของโลกไปแล้วก็ตาม แต่คนโอมานก็ยังใช้ยางหอมนี้เผาสร้างกลิ่นหอมเพื่อการบำบัดรักษาแบบ Aroma บ้าง เผาเพื่อเป็นการปรับอากาศในอาคารบ้านเรือนบ้าง ซึ่งจะพบเห็นได้ง่ายมากเมื่อเดินตามตลาดห้างร้านใหญ่ ๆ ในเมือง เขาจะเผากลิ่นนี้ตลบอบอวล คนที่ไม่คุ้นชินการใช้น้ำหอมอย่างเรา ก็พาลจะเป็นลมเพราะกลิ่นหอมของเขานี่เอง  
                              ความสำคัญของการเผายางไม้หอมนี้จะเห็นได้จากรูปปั้นเตาเผาไม้หอมกลายเป็นสัญญลักษณ์ที่แสดงความเป็นโอมานประดับอยู่ตามสถานที่สำคัญต่าง ๆเช่นตามวงเวียนก็มีประดับไว้เช่นกัน  แม้กระทั่งโลโก้ของสายการบินโอมานแอร์ที่เห็นนั้น ก็คือภาพควันหอมระเหยของFrankincense นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น