วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

Bahrain ประเทศรวย ๆ เล็ก ๆ ในอ่าวเปอร์เซีย


พี่ฝ้าย & น้องแก้ว

                  ป้าตัดสินใจไปรับบุญที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมบาห์เรนอีกครั้งหลังจากที่ศูนย์โอมานต้องปิดไป   ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้ป้าจะแก่ไปหน่อยแต่ก็ยังพอมีประโยชน์ต่องานพระศาสนาอยู่บ้าง เป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสมบุญใหญ่สุดพิเศษนี้ให้ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  และเมื่อเราไปอยู่ที่ไหน เราก็น่าจะได้ทำความรู้จักกับประเทศเขาด้วยใช่ไหม
 ดังนั้น เรามารู้จักกับประเทศบาห์เรนกันนะคะ

                                        Bahrain มีชื่อที่เป็นทางการ ว่า "The Kingdom of Bahrain" มาตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ 2002 ปกครองโดยระบบรัฐสภาภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี  โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขปัจจุบันคือ King Hamad bin Isa Al Khalifah ซึ่งครองราชย์มาตั้งแต่ ปี คศ. 2001 
                       Bahrain เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ไกล้ฝั่งทางทิศตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย รวมเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวน 33 เกาะเข้าเป็นประเทศ มีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดิน 619 ตารางกิโลเมตร เมื่อรวมน่านน้ำรอบเกาะด้วยก็มีเพียง 665 ตารางกิโลเมตร เทียบกับเกาะภูเก็ตบ้านเรา ซึ้งมีพื้นที่ 545 ตารางกิโลเมตร  จะเห็นว่าใหญ่กว่าภูเก็ตเพียง100 กว่า ๆ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น  เมืองหลวงของเขาชื่อว่า "Manama"   ตั้งอยู่บนเกาะทางเหนือที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีความยาว 55 กิโลเมตร            ความกว้าง 18 กิโลเมตร เท่านั้นเอง ประชากรทั้งประเทศของเขามีเพียง 1.5 ล้านคน อาศัยอยู่ในเมืองหลวงประมาณ 200,000 คน นอกนั้นจะกระจายไปตามเกาะต่าง ๆ ส่วนชาวต่างชาติที่มาทำงานมีอยู่ประมาณ 700,000 คน ทั่วประเทศ
                            Bahrain ปรากฏหลักฐานว่าเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลมานานกว่า 4,000 ปีมาแล้ว มีชนพื้นเมืองเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้มายาวนาน แต่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรีกบ้าง เตริกส์ และโปรตุเกตบ้าง รวมทั้งอิหร่านก็เคยประกาศว่า บาห์เรนเป็นดินแดนของตนด้วย สุดท้ายหมู่เกาะแห่งนี้ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษมาตั้งแต่ปี คศ. 1820 และพึ่งได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม คศ. 1971 ที่ผ่านมาเพียง 40 ปี กว่า ๆ แค่นั้นเอง


                      อาชีพดั้งเดิมของชนพื้นเมืองในหมู่เกาะบาห์เรนนี้ คือ "งมหอยมุก"  ไข่มุกเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญมีชื่อเสียงและสร้างรายได้ให้ประชาชนมาเป็นเวลายาวนาน ยุคทองของไข่มุก คือช่วงระหว่าง ปี คศ.1850 - ปี คศ.1930 ที่ไข่มุกมีราคาล้ำค่ายิ่งกว่าเพชรนั้น ไข่มุกของบาห์เรนจะมีชื่อเสียงมากที่สุด จนกระทั่งได้มีการพัฒนาการเลี้ยงหอยมุกและการค้าไข่มุกเลี้ยงเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ราคาไข่มุกแท้ที่เคยแพงยิ่งกว่าเพชร แพงยิ่งกว่าทองคำ ต้องตกต่ำลง ทำลายตลาดไข่มุกแท้ให้ซบเซาและย่อยยับลงในที่สุด ในปี 1940 ถือว่าสิ้นสุดยุคทองของไข่มุกอย่างแท้จริง คงเหลือร่องรอยความยิ่งใหญ่ของการค้าไข่มุก คือ แหล่งธรรมชาติของหอยมุกและหน่วยงานที่ตรวจสอบและออกใบรับรองคุณภาพไข่มุก ซึ่งได้กลายเป็นมรดกโลกไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ปัจจุบันการงมหอยมุกยังมีเพียงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเพื่อโชว์นักท่องเที่ยวเท่านั้น ความโชคดีของบาห์เรนเกิดขึ้นในปี คศ. 1932 ที่ได้มีการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกในตะวันออกกลาง  บาห์เรนจึงเปลี่ยนโฉมหน้ามาเป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการขายน้ำมันดิบนับจากนั้นเป็นต้นมา








 Bahrain ยุคปัจจุบัน เร่งการพัฒนาประเทศให้เท่าเทียมความเจริญของโลกยุคโลกาภิวัฒน์หลังได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษมีการสร้างาธารณูปโภคอย่างเร่งด่วนมีการถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับการก่อสร้างอาคารให้เป็นศูนย์กลางการค้าขาย ส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวในแขนงต่าง ๆ มีการสร้างตึกสูงระฟ้าแข่งขันกันอย่างขนานใหญ่

 
จุดชายแดนบนสะพานสู่ซาอุดิอาราเบีย
 ที่สำคัญมีการสร้างสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ของ  Saudi Arabia ระยะทางยาวถึง 26 กิโลเมตร และยังมีโครงการสร้างสะพานข้ามทะเลเชื่อมไปยัง Qatar ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าอีกไม่นานก็จะแล้วเสร็จ นอกจากนี้แล้วยังได้สร้างสะพานเชื่อมระหว่างเกาะเล็กเกาะน้อยเพิ่มขึ้นอีกมากมายเพื่อให้การเดินทางไปมาหากันระหว่างเกาะต่าง ๆ รวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
แผ่นดินที่เกิดจากการถมทะเล
 












                              Bahrain เป็นประเทศเดียวในคาบสมุทรอาราเบียที่ชาวต่างชาติต่างศาสนามาอยู่แล้วรู้สึกผ่อนคลายและสะดวกสบาย เพราะบาห์เรนเปิดกว้างสำหรับการลงทุนและการท่องเที่ยวให้กับชาวต่างชาติ ข้อปฏิบัติตามกฏหมายมุสลิมจึงไม่เคร่งครัดมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคแห่งนี้ ชาวต่างประเทศแม้แต่ชาวอาหรับด้วยกันเองก็นิยมเดินทางมาพักผ่อนหาความสำราญในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บาห์เรน ธุรกิจการท่องเที่ยวดูจะเติบโตได้รวดเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

            จนกระทั้งในปี คศ. 2011ที่เกิดความไม่สงบขึ้นภายในประเทศ มีการประท้วงและปะทะกันระหว่างมุสลิมนิกายสุนหนี่และชีอะห์ รัฐบาลต้องปราบปรามอย่างหนักทำให้ เศรษฐกิจของบาห์เรนเกิดการชงักงัน ชาวต่างชาติหนีออกนอกประเทศ ธุรกิจต่าง ๆ ซบเซาลง แม้ขณะนี้จะได้พยายามฟื้นฟูอย่างเต็มที่ แต่เศรษฐกิจก็คงจะชลอตัวไปอีกนานตราบใดที่คนในชาติยังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขาดความสามัคคีพร้อมเพรียงเช่นนี้ ความสุขสมบูรณ์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน

ดังพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า    " สุขา สงฺขสฺสะ สามคฺคี "
.... ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข.....

                              ประเทศไทยที่รักของเราล่ะ เมื่อไหร่จะถึงยุค.."รักสามัคคี" โดยพร้อมเพรียงกันซะที รักสามัคคีกันเมื่อไรละก้อ ประเทศไทยของเราก็จะเป็นไทยมหารัฐได้ไม่ยากเลย 

 สำหรับคนไทยเขามาทำอะไรกันบ้างที่ประเทศบาห์เรน ป้าเก็บเอาไว้เล่าให้ฟังในฉบับต่อไปนะจ๊ะ

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Salalah "Perfume capital of Arabia"

พี่ฝ้าย & น้องแก้ว

                                ป้าจะพาไปเที่ยวเมืองทางใต้ของโอมานที่ชื่อว่า Salalah นะคะ เมืองนี้ถ้าจะเทียบกับบ้านเราก็เหมือนเราอยู่กรุงเทพแล้วไปเที่ยวภูเก็ตนั่นแหละ คนโอมานเขานิยมหลบร้อนในเมืองกรุงไปพักผ่อนที่ Salalah ในช่วงหน้าร้อน เพราะอากาศที่ Salalah จะเย็นกว่ามาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม มีฝนตกชุ่มเย็น ภูเขามีพืชมีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม มีน้ำตกไหลริน พืช ผัก ผลไม้ ของเมืองนี้จึงมีคล้าย ๆ กับเมืองในเขตร้อนบ้านเรา ดังนั้นจึงสามารถเห็นมะพร้าว กล้วย อ้อย มะละกอ ส้มโอ วางขายข้างทางเหมือนตลาดกลางดงบ้านเราเลย

                                                               Salalah เป็นเมืองหลวงของรัฐ Dhofar    ตั้งอยู่ทางตอนใต้ห่างจากกรุงมัสกัต เมืองหลวงของประเทศโอมาน  ระยะทาง 1,020 กิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโอมานรองจากกรุงมัสกัต มีประชากรประมาณ 200,000 คน และเป็นบ้านเกิดของ Sultan qaboos เพราะตอนที่พระบิดาของท่านครองราชย์นั้น เมือง Salalah ยังเป็นเมืองหลวงของ  Sultanate of Oman ในระหว่าง คศ. 1932 - 1970 เมื่อ Sultan Qaboos  ขึ้นครองราชย์ในปี 1970 จึงได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงมัสกัต จึงนับว่า Salalah เป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งทางด้านการค้า วัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคมของชาวโอมานมาแต่โบราณกาล
                                 ด้วยระยะทางที่ไกลถึงกว่า1,000 กิโลเมตร เส้นทางต้องผ่านทะเลทรายที่ว่างเปล่า สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งผู้คนสัญจรไปมา ก็มีเพียงเล็กน้อย ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยว Salalah ส่วนใหญ่นิยมนั่งเครื่องบิน และสายการบินโอมานแอร์ก็มีบริการบินจากกรุงมัสกัตไปSalalah วันละ 5 เที่ยวบิน ส่วนรถโดยสารปรับอากาศที่วิ่งจากมัสกัตถึง Salalah ที่มีวันละ 3 เที่ยวนั้น ผู้ใช้บริการก็จะเป็นผู้ใช้แรงงานชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
                                              สำหรับการเดินทางไปSalalah ของป้านั้น ทำตามแบบที่ชอบของครอบครัวเรา คือเตรียมอาหารการกินให้พร้อมสรรพ แล้วก็ขับรถยนต์ไปเอง ออกจากมัสกัตตอนตี 5 ขับเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เจอเมืองเจอปั๊มก็แวะกินข้าวที่ห่อมา พักยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็ขับรถต่อ ถึงSalalah ตอน 5 โมงเย็น ใช้เวลาเดินทาง สบาย ๆ 12 ชั่วโมง มีบ้านพักแบบอพาร์ทเมนท์กว้างขวางให้เช่ารายวัน ๆ ละ 15 รีล อยู่อย่างสบายและถูกกว่าโรงแรมมาก    ป้าพักผ่อนหย่อนใจที่นั่น 3วัน 3 คืน จึงเดินทางกลับ เป็นการเดินทางที่ไม่โหดอย่างที่คนเขาพูดกัน โดยเฉพาะพี่อ้อมกับพี่เล็กขู่ว่า ระยะทางไกลมาก และไม่มีห้องน้ำให้เข้า ไม่มีร้านขายกาแฟ ไม่มีวิวสวยให้ดูเหมือนทางไปโคราชหรอกนะ แม่อย่าขับรถไปเองโดยเด็ดขาดนะคะ ป้าให้เหตุผลเขาว่า   "แม่เคยขับรถจากโคราชขึ้นเชียงรายเป็นประจำอยู่แล้ว" เขาก็โวยว่า "แม่...นั่นมันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนนี้แม่อายุเท่าไหร่แล้ว" และแล้วป้าก็เป็นแม่ที่อยู่ในโอวาทลูกน่าดู คือ ขับรถไปกลับมาแล้วจึงบอกเขาว่า แม่ไปมาแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตาปริบปริบในความดื้อของแม่ตัวเอง
                          
                              เมื่อถึงเมือง Salalah แล้ว จะไม่มีบรรยากาศทะเลทรายหลงเหลืออยู่เลย ยกเว้นมีอูฐหลงมาเดินเล่นที่ชายหาด  สองข้างทางจะมีร่องสวน
มะพร้าวเหมือนแถวบางขุนเทียนอย่างนั้นเลย แถมยังมีร้านขายผลไม้ข้างทางเหมือนแถวปากช่องบ้านเรา ถนนริมทะเลก็จะมีวิวที่สวยด้วยต้นมะพร้าวเหมือนทะเลบ้านเราด้วย
                                     ผู้คนที่นี่จะตัวเล็ก ๆ ผิวคล้ำกว่าคนในกรุงมัสกัต เขาจะมีภาษาท้องถิ่นพูดกันไม่เหมือนภาษากลาง  ซึ่งคงเหมือนเราอู้กำเมือง แลงตายหรือเว้าลาว นั่นเอง แต่เขาก็จะใช้อาราบิคเป็นภาษากลาง และใช้ภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติได้ดี คนโอมานที่นี่เป็นมุสลิม 100% และส่วนใหญ่จะนับถือนิกาย Sunni ซึ่งแตกต่างจากคนโอมานในมัสกัตที่ส่วนใหญ่จะนับถือนิกาย Ibadhi สำหรับแรงงานต่างชาติที่มีอยู่มากมายในเมืองที่เป็นคริสเตียน พุทธ ฮินดู ซิกส์ ก็สามารถปฏิบัติศาสนกิจของตนได้ไม่มีการหวงห้าม

                               Port of Salalah        หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ Raysut Harbour เป็นท่าเรือน้ำลึก ศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลเชื่อมระหว่างอัฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเซีย สินค้าที่สำคัญประดุจทองคำในสมัยก่อนนั้น  คือ       ยางไม้หอมที่มีชื่อว่า     " Frankincense" หรือ " Boswellia Sacra" ได้มีการค้าขายแลกเปลี่ยนที่ท่าเรือแห่งนี้มายาวนานกว่า 5,000 ปี ยางไม้นี้ เมื่อนำไปเผาไฟแล้วจะมีกลิ่นหอม สมัยโบราณจะใช้เผาในพิธีทางศาสนา พิธีบูชาเทพเจ้า และใช้เป็นเครื่องบรรณาธิการอันล้ำค่าให้กับกษัตย์ผู้ครองนครต่าง ๆ ดังเช่น พระนางชีบาแห่งเยเมนหรือเอธิโอเปียนี่แหละ ได้เอายางไม้หอมที่ว่านี้เป็นเครื่องสักการะและบรรณาการแด่กษัตย์โซโลมอนแห่งกรุงเยรูซาเร็ม จนสามารถเปลี่ยนจากเมืองที่เป็นอริกันให้กลายมาผูกสมัครรักใคร่จนได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ว่ากันว่า พระนางชีบาเดินทางมา Salalah เพื่อซื้อหายางไม้หอม Frankincense ด้วยพระองค์เองบ่อยครั้งจนถึงกับต้องสร้างตำหนักสำหรับพักกองคาราวานที่จะขนยางไม้หอมนี้กลับไปด้วย นั่นคือเหตุการณ์เมื่อก่อนคริสตศักราช 970-931 โน่น
                ด้วยเหตุที่ต้นไม้ที่ให้ยางหอมที่มีชื่อเสียงนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่นี่     Salalah         จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น
" Perfume Capital of Arabia"
                         จากที่ เขามีต้นยางหอมเป็นของตนเอง คนโอมานจึงชอบใช้น้ำหอมในชีวิตประจำวันในปริมาณมาก ๆ เขาจะขาดน้ำหอมกันไม่ได้เลย แม้ในยุคสมัยใหม่นี้ ยางไม้หอมที่นี่จะกลายเป็นวัตถุดิบในการสกัดน้ำหอมชั้นนำราคาแพงของโลกไปแล้วก็ตาม แต่คนโอมานก็ยังใช้ยางหอมนี้เผาสร้างกลิ่นหอมเพื่อการบำบัดรักษาแบบ Aroma บ้าง เผาเพื่อเป็นการปรับอากาศในอาคารบ้านเรือนบ้าง ซึ่งจะพบเห็นได้ง่ายมากเมื่อเดินตามตลาดห้างร้านใหญ่ ๆ ในเมือง เขาจะเผากลิ่นนี้ตลบอบอวล คนที่ไม่คุ้นชินการใช้น้ำหอมอย่างเรา ก็พาลจะเป็นลมเพราะกลิ่นหอมของเขานี่เอง  
                              ความสำคัญของการเผายางไม้หอมนี้จะเห็นได้จากรูปปั้นเตาเผาไม้หอมกลายเป็นสัญญลักษณ์ที่แสดงความเป็นโอมานประดับอยู่ตามสถานที่สำคัญต่าง ๆเช่นตามวงเวียนก็มีประดับไว้เช่นกัน  แม้กระทั่งโลโก้ของสายการบินโอมานแอร์ที่เห็นนั้น ก็คือภาพควันหอมระเหยของFrankincense นั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Sharqiyah Sand & Camel of Oman

พี่ฝ้าย & น้องแก้ว
 
                                   พาเที่ยวโอมานของป้าที่ผ่านมา จะเป็นความสวยงามของทะเลซะเป็นส่วนใหญ่ จนแทบจะลืมไปเลยว่า โอมานเป็นประเทศทะเลทรายในตะวันออกกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่ของเขาเป็นภูเขาหินและทะเลทราย นี่ป้าต้องอ้อนวอนพี่เล็กอยู่ตั้งนานกว่าจะได้ไปเห็นทะเลทรายของเขา ด้วยต้องรอจังหวะที่มีเวลาว่างพร้อมกันในช่วงฤดูหนาว ป้าได้ไปในเดือนกุมภาพันธ์ ถือว่าอากาศกำลังดี ไม่หนาวมากไม่ร้อนมาก ที่อยากไปทะเลทรายเพราะเคยเห็นภาพแต่ในหนัง ในโทรทัศน์ พอไปเห็นด้วยตนเองก็ตื่นเต้นที่เห็นทะเลทราย ทราย ทราย เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาเป็นครั้งแรก  นอกจากทะเลทรายแล้วยังได้เจออูฐตัวเป็น ๆ ให้เห็นจริงๆ ด้วย ดังนั้น เมื่อจะเล่าเรื่องทะเลทรายก็จะแถมเรื่องอูฐของโอมานไปด้วย เพราะเป็นของที่เขาอยู่คู่กัน 
                         

                           โอมานเขามีพื้นที่ทั้งหมด 309,500 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ 82% เป็นภูเขาหินและทะเลทราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายในคาบสมุทรอาราเบีย มีชื่อเรียกว่า Rub al Khali เป็นดินแดนว่างเปล่ามนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ทะเลทรายนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ได้รวมเอาดินแดนของหลายประเทศไว้ เช่น Saudi Arabia,Yemen,United Arab Emirates. สำหรับทะเลทรายส่วนที่เป็นดินแดนของประเทศโอมานนั้นอยู่ในรัฐ Al Sharqiyah เรียกว่า Wahiba Sand เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ คือ จากเหนือจรดใต้ยาวประมาณ 180 กิโลเมตร จากตะวันออกถึงตะวันตกความกว้างเฉลี่ย 80 กิโลเมตร เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของเบดูอีน (Bedouin)ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าดั้งเดิมของชาวอาหรับ ที่ปรากฏหลักฐานว่าชนเผ่าเบดูอีนได้อพยพเร่ร่อนเข้ามาอาศัยในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ 5,000 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันเบดูอีนรุ่นใหม่ ได้เข้ามาตั้งรกรากในเมือง ได้รับการศึกษาและทำมาหากินในเมืองต่าง ๆ ยังคงเหลือเร่ร่อนในทะเลทรายแบบดั้งเดิมอยู่เพียงเล็กน้อย
ชุมชนชาวเบดูอินกลางทะเลทราย Wahiba

                     หากเราจะไปเที่ยวทะเลทรายแบบไปกางเต้นท์นอนสัก 1 คืน ทดลองขี่อูฐ กินอาหารเย็นและชมการแสดงวัฒนธรรมของเบดูอีนแบบแคมป์ไฟ ก็สามารถซื้อแพคเกจทัวร์ได้ง่าย ค่าใช้จ่ายรวมหมดทุกอย่างประมาณ 80 รีลต่อคน ใครที่อยากตัดขาดจากโลกภายนอกก็จะได้ปลีกวิเวกสมใจอยาก เพราะที่นั่นจะไม่มีทีวี ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีอินเทอร์เนต และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกด้วย
                        ส่วนการไปของป้านั้น ขับรถไปตามเส้นทางไปเมือง Surต่อไปตามเส้นทางสู่เมือง Ibra ระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร ถึงทางแยกเข้าสู่ Wahiba Sand แล้วใช้บริการของหนุ่มเบดูอีนนำทางไปชมความงามของ Sand dune และโฉบไปตามเต้นท์ต่าง ๆ ที่เบดูอีนเขาพักอาศัย และไปเยี่ยมลูกน้อยพึ่งคลอดของอูฐกลางทะเลทรายด้วย ได้เห็นรีสอร์ทที่เป็นเต้นท์กลางทะเลทรายชื่อว่า 1,001 nights Camp จึงทำให้นึกได้ว่าตำนาน " อาหรับราตรี หรือ พันหนึ่งราตรี" ก็มีต้นกำเนิดจากดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เช่นกัน เล่ากันว่า ..เจ้าชายอาหรับคนนึง เมื่อจับได้ว่าชายาของตนมีชู้ ก็ฆ่าชายาและชู้รวมทั้งข้าทาสบริวารของชายาทิ้งหมด ด้วยความโกรธแค้นเมื่อได้หญิงใดมานอนด้วย รุ่งเช้าก็ประหารชีวิตเสีย แล้วสั่งให้หาหญิงใหม่มาหลับนอนแล้วฆ่าทิ้งเรื่อยไป จนถึงคิวนางเอกที่ทั้งสาว ทั้งสวย ทั้งฉลาด นามว่าคีตา เมื่อเสร็จภาระกิจกับเจ้าชายแล้ว นางก็จะเล่านิทานไปจนรุ่งเช้า นิทานก็ยังไม่จบเรื่อง นิทานที่นางเล่าก็จะสนุกสนาน ตื่นเต้น น่าติดตาม ทำให้เจ้าชายงดการประหารชีวิตเพื่อจะฟังนิทานตอนต่อไปในคืนวันรุ่งขึ้น สาวคีตาก็เล่านิทานไปทุก ๆ คืน โดยจะแทรกคติธรรมคำสอนให้เห็นคุณค่าของสตรีไปด้วย เล่านิทานไปเรื่อย ๆ จน ถึง 1001 คืน นิทานก็จบลงโดยไม่โดนประหารชีวิต เพราะเจ้าชายซาบซึ้งถึงคุณค่าของสตรีและหลงรักนางเอกซะแล้ว เรื่องเลย Happy Ending.
                

                                       เฮ้อ.. ไปซะไกล กลับมาเรื่องอูฐดีกว่า      อูฐของโอมาน เขามีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน แต่ละสายพันธุ์ก็ยังคงมีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ เขาจะมีโหนกกลางหลังเพียงโหนกเดียวซึ่งแตกต่างจากอูฐในจีนและที่อื่น ๆ ที่เขาจะมีโหนกกลางหลัง 2 โหนก เหมือนที่เราได้เห็นในหนังหรือในโทรทัศน์นั่นแหละ อูฐเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่สวยเอาซะเลยในความเห็นของป้า ทั้งหลังโก่ง ตะปุ่มตะป่ำ ขาก็เก้งๆ ก้าง ๆ ท่าเดินก็กระโดกกระเดก เห็นอูฐทีไรต้องยิ้มทุกทีเพราะทำให้นึกไปถึง นางประแดะ นางเอกของพระมะเหลเถไถย ที่เขาบรรยายชมความงามของนางว่า
 "สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด       งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า  
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตา           สองปลั่งกัลยาดั่งลูกยอ"
                                    นางคงจะสวยแบบอูฐที่เห็นนี่แหละ

    

 ที่น่ารักของอูฐเขาก็มีนะ อูฐเขาดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา ยิ้มแบบมีมิตรไมตรี ท่าทางไม่อวดดื้อถือดี ดูท่าทางเชื่องน่าไว้เนื้อเชื่อใจ



                                    ชาวโอมานเขาผูกพันกับอูฐมาตั้งแต่บรรพกาล     อูฐเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นยานพาหนะ บรรทุกสินค้าสัมภาระในการท่องทะเลทราย และเป็นอาหารไปด้วยพร้อมสรรพ
                  นอกจากนี้เขายังฝึกอูฐสำหรับวิ่งแข่งขันกัน จนการแข่งวิ่งอูฐเป็นกีฬาประจำชาติของเขาด้วย ว่ากันว่าอูฐสายพันธุ์จากโอมาน จะเป็นนักวิ่งแข่งที่เก่งที่สุดในอาราเบียด้วย อูฐเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญและมีคุณค่าทางจิตใจของคนโอมานมาก ป้าได้เคยเห็นคนโอมานเขาเอาใจใส่และรักอูฐของเขาขนาดอุ้มลูกอูฐให้อยู่ในรถ แล้วให้เมีย ๆ และผู้หญิงไปนั่งท้ายรถกะบะตากแดดร้อน ๆ แทนอูฐไปตลอดการเดินทาง เสียดายเก็บภาพมาฝากไม่ทัน



 เขาคงคิดว่า
"เมียเราทั้งเก่าทั้งแก่ จะมีค่ามีราคา   เท่าลูกอูฐตัวนึงก็หาไม่ "        
                      เห็นแล้วให้อดนึกขำไม่ได้จริง ๆ
                ดีแล้วนะที่เราได้เกิดเป็นไทย แม้จะเป็นผู้หญิงก็ยังพอมีสิทธิ์มีเสียงมีความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์บ้าง  หากจะต้องเกิดใหม่ ได้เป็นผู้หญิงอีก  สาธุ...... ขออย่าได้เกิดเป็นผู้หญิงอาหรับเลย ไหนจะต้องร้อนระอุท่ามกลางทะเลทราย แล้วยังไม่มีค่า ไม่มีราคาเท่ากับอูฐตัวน้อย ๆ เลย  


วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปลาโลมาในอ่าวโอมาน Dolphins watching in Muscat

 
         พี่ฝ้าย น้องแก้ว
            เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงโอมาน โรงแรมจะนำเสนอรายการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อันดับแรกๆ น่าจะเป็นการนั่งเรือออกไปชมฝูงปลาโลมาในทะเลไกล้ ๆ กับกรุงมัสกัต  ซึ่งใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง สำหรับการนั่งเรือออกไปชมปลาโลมา และชมเกาะแก่งในอ่าวโดยรอบแล้วกลับ  ถ้าต้องการดำน้ำชมปะการังด้วยก็จะใช้เวลามากขึ้น โปรแกรมชมปลาโลมานี้ มีให้ชมได้ตลอดปี
ท่าเรือ Siddab ถนน Qurum hight
            การไปดูปลาโลมาของป้า ใช้วิธีขับรถตามถนน Qurum hight ไปที่ท่าจอดเรือที่ Siddab แล้วเหมาเรือออกไป เฉลี่ยค่าใช้จ่ายคนละ 20 รีล เรือ Speed boad ของเขาทันสมัยมาก มีหลากหลายขนาดให้เลือก เมื่อเรือออกนอกฝั่งไปเล็กน้อย เจ้าของเรือเขาอนุญาตให้เราได้ขับเรือเองด้วย ป้าคิดว่าหน้าหนาวจะเหมาะกับการออกทะเล เพราะจะได้ชมปลาโลมาและชมวิวแบบไม่ร้อนและทะเลกำลังสวย  ถ้าเป็นช่วงปีใหม่ละก็ อากาศกำลังดีที่สุด

เรือนำนักท่องเที่ยวชมปลาโลมาและท้องทะเลโอมาน
       
ก่อนไป ป้าคิดว่าถ้าโชคดีก็น่าจะเห็นปลาโลมาสัก 4-5 ตัวก็ดีแล้ว แต่พอไปเข้าจริง ๆ  ได้เจอปลาโลมาเป็นฝูง ฝูงเป็นร้อย ๆ ตัว เจ้าของเรือเขามีเครื่องตรวจจับว่าฝูงโลมาอยู่ที่ไหน เขาก็ไปตามพิกัดนั้น ไม่ได้ขับเรือไปกลางทะเลแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างที่ป้าคิด พอเรือลำไหนเจอฝูงปลา เขาก็จะวิทยุบอกเรือท่องเที่ยวด้วยกัน สักพักก็จะมีเรือมาสมทบชมปลาโลมาเพิ่มขึ้น รายการนี้ป้าตื่นเต้นมาก เพราะนอกจากจะได้ขับเรือออกทะเลด้วยตนเองแล้ว ยังได้ชมโฉมปลาโลมาที่ว่ายมาให้เห็นไกล้ ๆ เรือ                                                        
ปลาโลมาเขาน่ารักนะ หน้ายิ้มตลอดเวลา ว่ายหยอกล้อกันในฝูงน่าเอ็นดู คนที่ไปดูต่างก็มีหน้าตายิ้มแย้มไปตาม ๆ กัน ชมปลาโลมากันจนอิ่มใจแล้วยังได้ไปชมบริเวณที่เป็นจุดชมปะการังด้วย ทะเลของเขาสวยจริง ๆ น้ำใสสีเขียวมรกต เสียดายที่ลง Snogle กับเขาไม่ได้ เพราะคณะที่ไปมีพระอาจารย์ไปด้วย จึงได้แต่ขับเรือวนเวียนไปชมตามเกาะแก่งต่าง ๆ ในอ่าว ซึ่งสวยงามแปลกตาเพราะภูเขาริมทะเลที่นี่เป็นเขาหินมีลวดลายและสีสันแตกต่างกันไป

จุดจอดเรือดำน้ำชมปะการัง
       ต้องชื่นชมกับอุดมการณ์อนุรักษ์ธรรมชาติของคนโอมานเขาจริง ๆ เพราะก่อนที่ประเทศเขาจะร่ำรวยด้วยก๊าซธรรมชาติและน้ำมันนั้น เขาก็เป็นประเทศชาวประมง และการประมงของเขาเป็นการประมงชายฝั่ง แต่เขาก็ไม่มีการใช้อวนลาก อวนรุนในการประมงน้ำตื้นนี้ ทำให้ปะการังชายฝั่งของเขาไม่โดนทำลาย สัตว์ทะเลของเขาจึงยังคงอุดมสมบูรณ์และสวยงาม ที่สำคัญเขาไม่ล่าและไม่ทำร้ายปลาโลมา เพราะเขาถือว่าปลาโลมาเป็นเพื่อน ที่ไหนมีฝูงโลมาแสดงว่าที่นั่นมีฝูงปลาทูนาด้วย  ชาวประมงกับปลาโลมาจับมือเป็นเพื่อนกันจับปลาทูนาเป็นอาหารของตน ไม่เบียดเบียนกัน


        ด้วยเหตุนี้ ฝูงปลาโลมาเป็นร้อย ๆ ตัว จึงวนเวียนอยู่ไกล้ฝั่งทะเลกรุงมัสกัต คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ตลอดทั้งปี ไม่หนีไปไหน
ฝูงปลาโลมาไกล้ฝั่งมัสกัต

      

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Beach of Muscat ทะเลสวย หาดบริสุทธิ์ ของมัสกัต

 
ปุยฝ้าย น้องแก้ว

                         โคราชบ้านเราอยู่ไกลทะเลเนอะ เวลามีโปรแกรมไปเที่ยวทะเลนี่เราจะชอบที่สุดเลย ขนาดต้องขับรถไป 4 -5 ชั่วโมงก็ไม่ท้อ (ใช่ซิ ลูกไม่ได้ขับรถนี่ ป้าขับคนเดียว หลาน ๆ ก็นอนกันไป หิวหรืออยากเข้าห้องน้ำก็ตื่นมาทำงัวเงียๆ  ขอให้จอดรถ  ใช่ไหมละคะ) พอป้ามาอยู่โอมาน   ทะเลอยู่ไกล้ มาก ขับรถ 5 นาทีก็ถึง แรก ๆ ที่มาอยู่ ป้าก็ขับรถสำรวจไปทุกหาดเลย ป้าก็ชอบทุกหาดด้วยเหมือนกัน ชอบที่ชายหาดเขายังเป็นชายหาดที่บริสุทธิ์ ยังไม่โดนรุกรานด้วยร้านอาหาร ด้วยร่มกันแดด ด้วยเก้าอี้ชายหาด ด้วยรีสอร์ท บ้านพักตากอากาส เหมือนชายหาดที่มีชื่อเสียงของไทยเรา

                           ชายฝั่งทะเลของโอมานเหนือสุดอยู่ที่แหลมเฮอร์มุต ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศและทอดยาวตลอดตอนเหนือของประเทศมาจนถึงมัสกัตและไปจนถึงเมืองท่าที่สำคัญของเขาที่ชื่อ Sur (อ่านว่า ซูร์) ทะเลช่วงนี้เป็นทะเลในอ่าวโอมาน ( Gulf Of Oman) ชายฝั่งทะเลจาก Sur เรื่อยลงไปทางใต้จนถึง Salalah จึงเป็นชายฝั่งของทะเลอาราเบียนที่อุดมไปด้วยสัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์ เช่น เต่ายักษ์ ปลาวาฬ ปลาโลมา  ชายฝั่งทะเลอันอุดมสมบูรณ์จากเหนือจรดใต้ ยาวเกือบ 2000 กิโลเมตร ป้าไปที่ไหนมาบ้างจะเก็บมาเล่าวันหลังนะ วันนี้เราไปชมชายหาดไกล้ ๆ ในเมืองมัสกัตก่อนนะคะ

ตลาดปลายามเช้าริมทะเล Al Seeb
                         Al Seeb beach    คือหาดทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่ป้าไปดูครั้งแรก ๆ เลย ชายฝั่งทะเลที่เมืองนี้เป็นเมืองชาวประมงมาแต่ดั้งเดิม ตอนเช้าตรู่ชาวประมงจะนำเรือจับปลาเทียบท่าที่นี่ ใครต้องการซ้ือปลาสด ๆ จากทะเลก็จะมาคอยเรือประมงที่นี่ ทำให้มีตลาดปลาเกิดขึ้นโดยปริยาย ปลาที่ป้ารู้จักและจำชื่อได้ น่าจะเป็นปลาทูนาตัวใหญ่มาก ปลาเก๋า(หน้าเหมือนแขก) ปลาซาดีน ปลาเข็ม มีกุ้งทะเลบ้างเหมือนกัน ปลากุ้งที่นี่รสชาดไม่เหมือนปลาเมืองไทย เราเลยโมเมเหมารวมว่าของเขาไม่อร่อย สู้อาหารทะเลบ้านเราไม่ได้ ของเราหวานอร่อยกว่ามาก


ชายทะเล The wave
                         The Wave เป็นชายฝั่งที่เกิดจากการเอาดินมาถมทะเลให้เป็นพื้นที่สำหรับสร้างธุรกิจการค้าและหมู่บ้านที่พักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งพื้นที่ที่เกิดจากการถมทะเลออกไปนี้ เขาถือว่าไม่ใช่แผ่นดินที่พระเจ้าประทานมาเพื่อประชาชนของเขา เขาสามารถขายให้ชาวต่างชาติได้ ใครอยากมีบ้านส่วนตัวซักหลังไว้ตากอากาศที่เมืองมัสกัต ก็ต้องมาซื้อบ้านที่โครงการ The Wave นี่แหละ ราคาบ้านเดี่ยวเริ่มต้นที่ 300,000 รีล เอา 80 คูณเข้าไปเป็นเงินบาท  หากเป็นผืนแผ่นดินใหญ่แต่ดั้งเดิมนั้น เป็นแผ่นดินประทานมาจากพระเจ้า เขาไม่ขายให้ชาวต่างชาติเขาจะเก็บเอาไว้ให้เฉพาะคนของเขาเท่านั้น ป้าอยากให้คนไทยได้คิดแบบนี้ด้วยจังเลยว่า ผืนแผ่นดินไทย เราจะไม่ขายให้คนต่างชาติ จะเก็บไว้ให้คนไทยเท่านั้น ตอนนี้น่าเสียดายที่ผืนแผ่นดินไทย ต้องตกเป็นกรรมสิทธื์ของชาวต่างชาติไปมากแล้ว เราน่าจะตื่นขึ้นมาสำนึกรักแผ่นดินไทย ทำอย่างไรกรรมสิทธิ์ของแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่บรรพบุรุษเราต่อสู้รักษาไว้ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต จะไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติที่เอาเพียงเศษเงินของเขามากว้านซื้อไป

อาคารที่เห็นลิบ ๆ คืออสังหาริมทรัพย์ The Wave ที่มีไว้ขายให้ชาวต่างชาติ

 

Athaibah Beach หาดนี้อยู่ไกล้บ้านพี่อ้อมมาก แวะจากถนน 18 November ไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว ชายหาดนี้มีต้นมะพร้าวปลูกเรียงรายได้บรรยากาศชายทะเล คนเมืองจะมาสูดลมทะเลกันในเวลาค่ำ ๆ ที่อากาศคลายร้อนลงบ้างแล้ว ที่นี่มีลานจ๊อกกิ้ง ลานบาบีคิวที่น่าสนใจ คือ อาหารทะเลที่จะย่างนั้นไม่ต้องซื้อหามาจากตลาด มานั่งคอยเรือประมงซึ่งเป็นเรือเล็กซึ่งออกประมงไกล้ ๆ บริเวณนั้น และจะเข้าฝั่งประมาณ 2-3 ทุ่ม เมื่อเรือประมงเข้าฝั่งก็ไปดูว่าได้อาหารทะเลอะไรมาบ้าง ที่มีประจำก็ปลาหมึกนั่นแหละ เอามาย่างกันควันโขมง ถ้าเป็นบ้านเรา อาหารการกินคงมีมาขายกันอย่างมากมาย


Qurum Beach
 
 Qurum Beach  หาดนี้อยู่ในพื้นที่ทำงานสถานทูตของประเทศต่าง ๆ และที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ บริเวณชายหาดจึงมีโรงแรมหรู ๆ หลายแห่ง มี ภัตตาคารร้านค้า มีพลาซ่า บริการเหมือนหาดทั่วโลกบ้าง ถ้ามาเดินเล่นตอนเย็น ๆ ก็จะเห็นวัยรุ่นมาเตะฟุตบอลที่ชายหาดกันหนาตา
 
       Shetti Beach  หาดนี้เป็นหน้าเป็นตาของกรุงมัสกัต มีถนนสวยเลียบชายหาดชาวบ้านเรียกถนนนี้ว่า Love Road ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร สร้างหลังจากเกิดซึนามิคราวเดียวกันกับที่ภูเก็ตบ้านเรา เขาจะโฆษณาหาดนี้เป็นจุดชมวิวและพักถ่ายรูปสำหรับนักท่องเที่ยวที่นั่งรถชมเมืองแบบ Side Seeing ด้วย


ริมฝั่งทะเลที่สวยงามและสำคัญที่สุดของกรุงมัสกัตน่าจะเป็นที่ Mutrah ซึ่งเป็นเมืองท่าเก่าแก่ เมืองค้าขายที่สำคัญของโลกอาหรับมาแต่โบราณ นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสความขลังของอาหรับได้ที่ Muttrah Souq ที่ยังคงรักษาบรรยากาศอารยธรรมอาราเบียนไว้อย่างเต็มที่ ริมทะเลที่นี่ไม่มีชายหาด เพราะเป็นท่าเรือน้ำลึกสำหรับเป็นที่จอดเทียบท่าของเรือพระที่นั่งสุลต่านกาบูส์ ถนนเลียบชายฝั่งสวยด้วยไม้ดอกประดับ เสาไฟแสงสว่างสวยงาม ใครก็ตามที่มาไม่ถึงที่นี่ ชื่อว่ายังไม่ได้มาโอมาน 
Muttrah Corniche
ท่าเรือน้ำลึก Sultan Qaboos Port

Muttrah Souq
Al Buston Beach เป็นหาดส่วนตัวของโรงแรม Al Buston Intercontinenton โรงแรมนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของสุลต่านท่านใช้สำหรับต้อนรับแขก VIP ในการประชุม OPEC ผู้ที่จะเข้าไปอาบแดดที่ชายหาดนี้ต้องเป็นลูกค้าของโรงแรมเท่านั้น ชาวบ้านก็ชมความงามได้ในระยะไกล ๆ และหาดส่วนบุคคลที่อยู่ในเขตโรงแรมห้าดาวจะพัฒนาได้สวยงามไม่แพ้เมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ทั่วโลก
Al Buston Beach

ทะเลหน้าโรงแรม Al Buston
สระน้ำจืดตกแต่งโดยรอบโรงแรม Al Buston
Quntab Beach เป็นทะเลอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง ใครที่สนใจจะไปเที่ยวเกาะเล็ก เกาะน้อย ในอ่าวที่สวยงาม รวมทั้งการไปชมปะการัง สามารถมาเช่าเรือของชาวประมงที่นี่ออกไปราคาจะถูกกว่าไปเช่าเรือตามรายการท่องเที่ยวที่โฆษณาในโบชัวร์ตามโรงแรมต่าง ๆ อีก
ลูกชายชาวประมงใน Qantab
 
 Yiti Beach  น่าจะเป็นปากแม่น้ำมากกว่า เพราะมีร่องรอยของธารน้ำ(Wadi)ขนาดใหญ่ในอดีตที่แขกเขาเรียกว่า Wadi Al Yiti ไหลลงสู่ทะเล ร่องน้ำกว้างขนาบด้วยภูเขาหินสวยแปลกตา ส่วนที่น้ำทะเลขึ้นถึงยังแลดูเป็นแม่น้ำอยู่บ้าง ตอนที่ป้ามาดูนั้น เขากำลังถมดินลงไปในทะเลเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและที่พักตากอากาศ และน่าจะขายให้ชาวต่างชาติได้ เพราะแผ่นดินเกิดจากการถมทะเล

Yiti Al Wadi
ทะเลปากแม่น้ำ Yiti ในยามเย็น
 As Sifah Beach    เป็นหาดทางใต้สุดของกรุงมัสกัตที่ป้าสามารถขับรถไปชมได้  อยู่ห่างจากบ้านพักประมาณ 50 กิโลเมตร เส้นทางผ่านภูเขาสลับซับซ้อนสวยงาม หาดทรายโค้งสวยมาก บริสุทธิ์ผุดผ่อง มองเห็นหมู่บ้านชาวประมงอยู่ลิบ ๆ ทรายสวยสะอาดแต่ไม่มีผู้คน แต่หาดของเขามีแต่หาดทรายชายทะเล ไม่มีอะไรเลย หาดทั้งหาดมีร้านอาหารเพียงร้านเดียว เปิดขาย Sea Foods สไตล์อาหรับ อาหารทะเลที่มีให้เลือกคือ  ปลาที่เรือประมงจับได้ในวันนั้น( Catch of a day ) กุ้ง หมึก กุ้งมังกร เมนูคือ ย่าง หรือ ทอด ไม่มีอย่างอื่นให้เลือกสั่งได้ตามใจชอบแบบบ้านเรา ราคาแพงแบบเศรษฐีกินข้าวนอกบ้าน และหาดสวยแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นหาดสวยส่วนบุคคลของโรงแรมห้าดาวที่กำลังก่อสร้างไปแล้ว


                   ป้าเคยสงสัยหนักหนาว่า หาดทรายชายทะเลของโอมานก็สวยงามมาก อยู่ไม่ไกลจากชุมชน แต่ทำไมคนโอมานแทบทั้งนั้น อยากไปเที่ยวชายทะเลเมืองไทย ทั้งภูเก็ต ทั้งพัทยา ก็ได้รับคำตอบว่าเขาอยากเที่ยวชายทะเลที่มีบริการครบวงจร ทั้งสุรา นารี อาหารการกิน แหล่งชอปปิ้ง แบบบ้านเรา ป้าจึงถึงบางอ้อว่า หาดที่มีเก้าอี้ มีร่มหลากสี มีห่วงยางให้เช่า มีห้องอาบน้ำจืด มีเรือ มีบาร์เบียร์ มีสาวเชียร์เบียร์ ฯลฯ เหล่านี้ได้กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า  "ทะเลสวย หาดบริสุทธิ์ " แบบที่มีในโอมานซะอีก

ชายหาด As Sifah
 

ป้าชอบทะเลสวย หาดบริสุทธิ์ของมัสกัตเขานะ
ทะเลไทย ระยอง
 
พี่ฝ้ายกะน้องแก้วหละ  ชอบแบบไหน??????