การรับบุญในศูนย์ต่างประเทศ หน้าที่หนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คือการทำหน้าที่พิธีกรในงานบุญต่าง ๆ บทพิธีกรรมเหล่านี้ถ้าจำไม่ได้ก็ต้องจดใส่กระดาษนำมาอ่านขณะทำหน้าที่ แต่ก็เกิดความรุ่มร่ามเรี่ยราดอยู่เป็นประจำ เพราะ เมื่อเป็นพิธีกรไม่ได้หมายความว่าจะได้นั่งสวยเรียบร้อยอยู่ที่เดียวเหมือนเป็นพิธีกรงานอื่น ๆ แต่ต้องลุก ๆ นั่ง ๆ ไปต้อนรับเจ้าภาพบ้าง ไปถ่ายรูปบ้าง ช่วยรับของประเคนจากพระอาจารย์บ้าง ฯลฯ ทำให้บทพิธีกรรมที่อยู่ในกระดาษ หรือในสมุด หรือในแฟ้ม ดูเหมือนจะไม่สะดวกที่จะใช้งานได้ในทันท่วงที ดังนั้นหากจะให้คล่องตัวในการทำงาน บทพิธีเหล่านี้ต้องอยู่ในใจ
การจะท่องบทอะไร ๆ ที่ยาว ๆ ให้ขึ้นใจ คงทำได้ไม่เหมือนสมัยตอนเป็นเด็กแล้ว สมัยนั้นท่องอาขยาน หรือร้องเพลงสมัยนิยม เพียงครั้งสองครั้งก็จำได้ และยังสามารถจำได้อยู่แม้เวลาผ่านไปหลายสิบปี เช่น เพลงที่ไม่เคยได้ร้อง ไม่เคยได้ฟังมาเป็นสิบสิบปี พอได้ฟังอีกครั้งก็สามารถร้องได้โดยไม่ลืม ยังมหัศจรรย์ตนเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมยังจำได้ เมื่ออายุมากขึ้น สมองที่ใช้ในการจำคงเสื่อมชำรุด จำอะไร ๆ ยากขึ้น เช่น บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สวดมาเป็น สิบสิบปีก็ต้องเปิดหนังสือสวดมนต์อยู่นั่นละ จำไม่ได้สักที จนต้องเข้มงวดกับตนเองว่าเข้าวัดมาหลายปีแล้วควรสวดมนต์ทำวัตรให้ขึ้นใจไม่ต้องเปิดหนังสือ จึงตั้งใจในคราวขึ้นปฏิบัติธรรมพิเศษที่พนาวัฒน์ครั้งหนึ่งว่า ครั้งนี้ต้องสวดมนต์โดยไม่เปิดหนังสือให้ได้ ซึ่งก็ทำได้โดยสวดมนต์ในใจไปเรื่อย ๆ ขณะนั่งสมาธิ ปกติการนั่งสมาธิสมัยนั้นประสบการณ์ภายในยังติดลบอยู่กับการลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง จนบางครั้งปวดหัว ปวดตา คลื่นใส้ไปก็มี ผ่านจากประสบการณ์นั้นแล้วจึงสามารถปล่อยใจสบาย ๆ ได้บ้าง แต่ก็ยังเผลอฟุ้ง บางครั้งก็ฟุ้งไปรอบโลกได้หลายรอบจนต้องปล่อยให้ฟุ้งไปจนเหนื่อยแล้วค่อยไล่จับใจมาวางที่กลางท้องใหม่ ดังนั้นการที่ตั้งใจสวดมนต์ในใจจึงเท่ากับขจัดความฟุ้งซ่าน ให้ออกไปจากใจโดยให้ใจจรดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ ตรงไหนลืมหรือขึ้นต้นไม่ได้ก็เปิดหนังสือดูหน่อยแล้วค่อยหลับตาท่องบทสวดมนต์ต่อไป ทำอย่างนี้เพียงไม่กี่รอบของการนั่งสมาธิ ก็สามารถสวดมนต์ได้ขึ้นใจโดยไม่ต้องเปิดหนังสืออีก
มาครั้งนี้ เมื่อต้องจำบทพิธีกรรมต่าง ๆ ให้ขึ้นใจ จึงนึกถึงวิธีที่เคยได้ผลนี้ ด้วยการเริ่มต้นกวดขันตนเอง เมื่อนั่งสมาธิก็เอาใจจรดที่บทพิธีกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่คำขึ้นต้นก่อนอาราธนา ศีล5 ศีล8 " บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ศีลเป็นเบื้องต้น...เป็นที่ตั้งและ........." ไปจนกระทั่งคำกล่าวถวายสังฆทาน อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร คำอธิฐานจิต คำแผ่เมตตา การนำกราบ นำกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งบทสวดธัมจักกัปปวัตนสูตรที่ไม่เคยสวดเลยก็ใช้วิธีการนี้เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถจดจำบทต่างๆได้โดยไม่ต้องจดใส่กระดาษ ใส่หนังสือหรือถือแฟ้มอีกต่อไป เมื่อต้องทำหน้าที่พิธีกรเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็สามารถปฏิบัติงานได้ทันทีเพราะมีข้อมูลนี้อยู่ในใจแล้ว
จะเห็นได้ว่า ขณะที่ใจอยู่ในสมาธินั้น สามารถจดจำสิ่งที่เราต้องการจำได้แบบขึ้นใจไม่หลงไม่ลืม จึงนึกไปถึงการท่องอาขยานในวัยเด็กที่จำได้ไม่รู้ลืมนั้น คงเป็นเพราะใจในวัยเด็กนั้นยังใส ไม่ขุ่นมัวไปด้วยประสบการณ์ชีวิต ใจที่ใส ๆ ย่อมมีคุณภาพในการคิด การจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี ดังนั้น ท่านผู้สูงอายุทั้งหลาย หากมีปัญหาเรื่องหลง ๆ ลืม ๆ เรียนอะไรก็ไม่จำ ท่องอะไรก็ไม่ได้ ลองนั่งหลับตาทำสมาธิเพื่อให้ใจหยุด ใจนิ่ง ใจใส ๆ ใจจะได้มีคุณภาพ จะคิด จะจำ จะทำสิ่งใด ก็จะทำได้ทุกสิ่ง เพราะใจเรามีสมาธินั่นเอง
การจะท่องบทอะไร ๆ ที่ยาว ๆ ให้ขึ้นใจ คงทำได้ไม่เหมือนสมัยตอนเป็นเด็กแล้ว สมัยนั้นท่องอาขยาน หรือร้องเพลงสมัยนิยม เพียงครั้งสองครั้งก็จำได้ และยังสามารถจำได้อยู่แม้เวลาผ่านไปหลายสิบปี เช่น เพลงที่ไม่เคยได้ร้อง ไม่เคยได้ฟังมาเป็นสิบสิบปี พอได้ฟังอีกครั้งก็สามารถร้องได้โดยไม่ลืม ยังมหัศจรรย์ตนเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมยังจำได้ เมื่ออายุมากขึ้น สมองที่ใช้ในการจำคงเสื่อมชำรุด จำอะไร ๆ ยากขึ้น เช่น บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สวดมาเป็น สิบสิบปีก็ต้องเปิดหนังสือสวดมนต์อยู่นั่นละ จำไม่ได้สักที จนต้องเข้มงวดกับตนเองว่าเข้าวัดมาหลายปีแล้วควรสวดมนต์ทำวัตรให้ขึ้นใจไม่ต้องเปิดหนังสือ จึงตั้งใจในคราวขึ้นปฏิบัติธรรมพิเศษที่พนาวัฒน์ครั้งหนึ่งว่า ครั้งนี้ต้องสวดมนต์โดยไม่เปิดหนังสือให้ได้ ซึ่งก็ทำได้โดยสวดมนต์ในใจไปเรื่อย ๆ ขณะนั่งสมาธิ ปกติการนั่งสมาธิสมัยนั้นประสบการณ์ภายในยังติดลบอยู่กับการลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง จนบางครั้งปวดหัว ปวดตา คลื่นใส้ไปก็มี ผ่านจากประสบการณ์นั้นแล้วจึงสามารถปล่อยใจสบาย ๆ ได้บ้าง แต่ก็ยังเผลอฟุ้ง บางครั้งก็ฟุ้งไปรอบโลกได้หลายรอบจนต้องปล่อยให้ฟุ้งไปจนเหนื่อยแล้วค่อยไล่จับใจมาวางที่กลางท้องใหม่ ดังนั้นการที่ตั้งใจสวดมนต์ในใจจึงเท่ากับขจัดความฟุ้งซ่าน ให้ออกไปจากใจโดยให้ใจจรดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ ตรงไหนลืมหรือขึ้นต้นไม่ได้ก็เปิดหนังสือดูหน่อยแล้วค่อยหลับตาท่องบทสวดมนต์ต่อไป ทำอย่างนี้เพียงไม่กี่รอบของการนั่งสมาธิ ก็สามารถสวดมนต์ได้ขึ้นใจโดยไม่ต้องเปิดหนังสืออีก
มาครั้งนี้ เมื่อต้องจำบทพิธีกรรมต่าง ๆ ให้ขึ้นใจ จึงนึกถึงวิธีที่เคยได้ผลนี้ ด้วยการเริ่มต้นกวดขันตนเอง เมื่อนั่งสมาธิก็เอาใจจรดที่บทพิธีกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่คำขึ้นต้นก่อนอาราธนา ศีล5 ศีล8 " บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ศีลเป็นเบื้องต้น...เป็นที่ตั้งและ........." ไปจนกระทั่งคำกล่าวถวายสังฆทาน อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร คำอธิฐานจิต คำแผ่เมตตา การนำกราบ นำกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งบทสวดธัมจักกัปปวัตนสูตรที่ไม่เคยสวดเลยก็ใช้วิธีการนี้เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถจดจำบทต่างๆได้โดยไม่ต้องจดใส่กระดาษ ใส่หนังสือหรือถือแฟ้มอีกต่อไป เมื่อต้องทำหน้าที่พิธีกรเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็สามารถปฏิบัติงานได้ทันทีเพราะมีข้อมูลนี้อยู่ในใจแล้ว
จะเห็นได้ว่า ขณะที่ใจอยู่ในสมาธินั้น สามารถจดจำสิ่งที่เราต้องการจำได้แบบขึ้นใจไม่หลงไม่ลืม จึงนึกไปถึงการท่องอาขยานในวัยเด็กที่จำได้ไม่รู้ลืมนั้น คงเป็นเพราะใจในวัยเด็กนั้นยังใส ไม่ขุ่นมัวไปด้วยประสบการณ์ชีวิต ใจที่ใส ๆ ย่อมมีคุณภาพในการคิด การจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี ดังนั้น ท่านผู้สูงอายุทั้งหลาย หากมีปัญหาเรื่องหลง ๆ ลืม ๆ เรียนอะไรก็ไม่จำ ท่องอะไรก็ไม่ได้ ลองนั่งหลับตาทำสมาธิเพื่อให้ใจหยุด ใจนิ่ง ใจใส ๆ ใจจะได้มีคุณภาพ จะคิด จะจำ จะทำสิ่งใด ก็จะทำได้ทุกสิ่ง เพราะใจเรามีสมาธินั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น